เทคนิคการปิดการขายที่ได้ผลที่สุด

การปิดการขาย (Closing the Sale) หมายถึง ขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการขายที่ผู้ขายทำการสรุปและชักชวนให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการ โดยการปิดการขายมีเป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจและยอมรับข้อเสนอของผู้ขาย

ขั้นตอนการขาย

1. การค้นหาลูกค้า (Prospecting)
  • การระบุเป้าหมาย หาลูกค้าใหม่ที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการ
  • การสร้างรายชื่อ ใช้แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, การแนะนำจากลูกค้าเดิม หรือการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างรายชื่อลูกค้า
2. การติดต่อ (Approaching)
  • การเข้าหาลูกค้า ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง หรือผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล หรือการประชุม
  • การสร้างความสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีในช่วงแรก
3. การนำเสนอ (Presenting)
  • การนำเสนอสินค้า/บริการ แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการมีคุณสมบัติและประโยชน์อย่างไร
  • การตอบคำถาม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมและตอบข้อสงสัยของลูกค้า
4. การจัดการข้อโต้แย้ง (Handling Objections)
  • การฟังข้อกังวล: รับฟังปัญหาหรือข้อกังวลที่ลูกค้าอาจมี
  • การตอบสนอง: อธิบายและแก้ไขข้อสงสัยเพื่อสร้างความมั่นใจ
5. การปิดการขาย (Closing the Sale)
  • การชักจูงให้ตัดสินใจ: ใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการซื้อ
  • การสรุปข้อเสนอ: เน้นจุดเด่นและประโยชน์ของการซื้อในตอนนี้
6. การติดตามผล (Follow-Up)
  • การติดต่อหลังการขาย: สอบถามความพึงพอใจของลูกค้าและให้บริการเพิ่มเติม
  • การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว: ส่งเสริมการซื้อในอนาคตและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

เทคนิคการปิดการขายที่ได้ผล

1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
  • เริ่มต้นด้วยการฟังลูกค้าอย่างตั้งใจ สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจในการตัดสินใจซื้อ
2. ใช้เทคนิค “ความรู้สึกเร่งด่วน”
  • สร้างความรู้สึกว่าลูกค้าต้องตัดสินใจเร็ว เช่น การเสนอโปรโมชั่นที่มีระยะเวลาจำกัด หรือสินค้าจำนวนจำกัด
3. ถามคำถามที่กระตุ้นให้ลูกค้าคิด
  • ใช้คำถามที่ช่วยให้ลูกค้าเห็นคุณค่าและผลประโยชน์ของสินค้าหรือบริการ เช่น “ถ้าคุณมีผลิตภัณฑ์นี้ จะช่วยแก้ปัญหาของคุณได้อย่างไร?”
4. เสนอทางเลือกที่ชัดเจน
  • ให้ลูกค้าเลือกจากตัวเลือกที่ชัดเจน เช่น “คุณต้องการแพ็คเกจ A หรือ B?” ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากเกินไป
5. ยืนยันข้อดีและประโยชน์
  • ย้ำถึงคุณประโยชน์และข้อดีของสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าจะได้รับ พร้อมกับการแสดงความมั่นใจในผลิตภัณฑ์
6. ใช้หลักการ “ความกลัวจากการพลาด” (FOMO)
  • บอกลูกค้าเกี่ยวกับการซื้อที่ประสบความสำเร็จของลูกค้าท่านอื่น หรือกรณีที่คนอื่นกำลังสนใจสินค้านั้น
7. ใช้การอ้างอิงและคำแนะนำ
  • เสนอการอ้างอิงจากลูกค้าเก่าที่พอใจในสินค้าหรือบริการ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในตัวสินค้าหรือบริการของคุณ
8. เสนอการรับประกันหรือการทดลองใช้
  • การให้การรับประกันความพอใจหรือให้ทดลองใช้สินค้าก่อนซื้อ ช่วยลดความเสี่ยงให้กับลูกค้า
9. เตรียมพร้อมรับข้อโต้แย้ง
  • มีข้อมูลและคำตอบสำหรับข้อโต้แย้งที่อาจเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจ
10. จบด้วยการเรียกร้องให้ดำเนินการ (Call to Action)
  • ให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่าลูกค้าควรทำอะไรต่อ เช่น “คุณต้องการให้ผมช่วยดำเนินการสั่งซื้อเลยหรือไม่?”

ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

ข้อควรระวัง
  1. การฟังลูกค้า อย่าพูดมากเกินไปจนทำให้ไม่ฟังความต้องการหรือข้อกังวลของลูกค้า
  2. การสร้างความสัมพันธ์ ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แต่ต้องระวังไม่ให้มีความรู้สึกอึดอัด
  3. ความซื่อสัตย์ ต้องมีความซื่อสัตย์เกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้า ไม่ควรอ้างว่ามีคุณสมบัติที่ไม่มีจริง
  4. การใช้ข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลที่ใช้ในการนำเสนอให้ถูกต้องและทันสมัย
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
  1. การกดดันลูกค้า อย่ากดดันให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
  2. การตอบสนองที่ไม่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการตอบข้อโต้แย้งของลูกค้าในลักษณะที่ไม่เป็นมิตรหรือไม่ให้เกียรติ
  3. การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อน อย่าใช้ศัพท์เทคนิคหรือข้อมูลที่ซับซ้อนเกินไป ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าสับสน
  4. การมองข้ามลูกค้า หลีกเลี่ยงการมองข้ามลูกค้าหรือไม่สนใจคำถามและความต้องการของพวกเขา
  5. การไม่ติดตามผล อย่าละเลยการติดตามลูกค้าหลังการขาย เพราะจะทำให้โอกาสในการขายซ้ำลดลง

หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินผล KPI สำหรับฝ่ายขาย EsteeMATE มี Features ที่จะช่วยให้คุณประเมินผล KPI ให้กับพนักงานฝ่ายขายได้ ศึกษาข้อมูลพิ่มเติมได้ที่นี่

แบบฟอร์มประเมิน KPI ฝ่ายขาย

แบบฟอร์มประเมิน KPI ฝ่ายขาย

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top