บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานขาย

  • รีวิวฟีเจอร์เด่นของ monday.com ที่คุณอาจไม่เคยรู้
    รีวิวฟีเจอร์เด่นของ monday.com เป็นแพลตฟอร์มการจัดการโครงการที่มีฟีเจอร์หลากหลายและมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากฟีเจอร์พื้นฐานที่ช่วยในการจัดการงานและติดตามความก้าวหน้าแล้ว ยังมีฟีเจอร์เด่นบางอย่างที่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก รีวิวฟีเจอร์เด่นของ monday.com การใช้ monday.com เพื่อสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในทีมขายนั้นมีหลายวิธีที่สามารถทำได้หลายวิธี monday.com เป็นเครื่องมือการจัดการโปรเจคและการทำงานร่วมกันที่มีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยให้ทีมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น ฟีเจอร์เด่นของ monday.com ได้แก่: 1.ฟังก์ชัน Boards ที่ช่วยให้ทีมสามารถสร้างกระดานงานได้หลากหลายประเภท เช่น กระดานสำหรับการติดตามงาน, การจัดการโปรเจค, หรือการขาย โดยแต่ละกระดานสามารถมีหลายคอลัมน์ที่ช่วยในการติดตามสถานะงานอย่างละเอียด 2.ฟีเจอร์ Automations ช่วยลดงานซ้ำซ้อนโดยการตั้งค่ากฎอัตโนมัติ เช่น การส่งการแจ้งเตือนเมื่อมีกิจกรรมที่สำคัญ หรือการอัปเดตสถานะงานโดยอัตโนมัติ 3.ฟังก์ชัน Updates ที่ช่วยให้ทีมสามารถทำการสื่อสารในแต่ละงานได้โดยตรงในระบบเดียวกัน ลดการใช้การสื่อสารผ่านช่องทางอื่น เช่น อีเมลหรือแอปพลิเคชันแยกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Dashboards ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายๆ กระดานได้ในที่เดียว สามารถดูภาพรวมของโปรเจคและผลลัพธ์ต่างๆ ด้วยกราฟและแผนภาพที่เข้าใจง่าย 4.ฟังก์ชัน Integrations ช่วยให้ monday.com สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Drive, Slack, Zoom, Outlook, และ Trello เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 5. ฟีเจอร์ Time Tracking ที่สามารถติดตามเวลาการทำงานของแต่ละงานหรือโปรเจคได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการทรัพยากร นอกจากนี้ monday.com ยังมี 6.ฟังก์ชัน Permissions and Security ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในแต่ละกระดานหรือโปรเจคได้ตามต้องการ ทำให้การรักษาความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีของ monday.com ได้แก่: สนับสนุนการทำงานเป็นทีม: ฟีเจอร์ Collaborative Documents ช่วยให้ทีมสามารถร่วมกันทำงานในเอกสารเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการสร้างเนื้อหาหรือการปรับปรุงเอกสารร่วมกัน ใช้งานง่ายและมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานสะดวก: monday.com มาพร้อมกับอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่ายและใช้งานได้อย่างราบรื่น… Read more: รีวิวฟีเจอร์เด่นของ monday.com ที่คุณอาจไม่เคยรู้
  • วิธีการทำพนักงานเบิกจ่ายอุปกรณ์ใน monday.com
    ในการสร้างกระบวนการให้พนักงานเบิกจ่ายอุปกรณ์ใน monday.com คุณสามารถใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Board, Columns, Automations, และ Forms เพื่อทำให้กระบวนการนี้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือขั้นตอนในการทำพนักงานเบิกจ่ายอุปกรณ์ใน monday.com วิธีการทำพนักงานเบิกจ่ายอุปกรณ์ใน monday.com 2. ตั้งค่า Columns โดยสามารถเลือกประเภทของคอลัมน์นั้นๆได้ว่าต้องการให้เป็นข้อมูลประเภทใด เช่น 3. กรอกข้อมูล วิธีการสร้าง Form ให้ไปที่ปุ่ม+ด้านบนข้าง Main Table กดปุ่ม + เพื่อเลือกการสร้างฟอร์ม โดยฟอร์มที่กดสร้างจะดึงข้อมูลจากคอลัมน์ที่สร้างทั้งหมดในหน้า Main Table มา สามารถเปลี่ยนชื่อ และสามารถกรอกข้อมูลในฟอร์มนี้ได้เลย เมื่อกรอกข้อมูลในฟอร์มเรียบร้อยข้อมูลจะไปแสดงที่หน้ากระดานของเราที่ละเเถว นอกจาก Form แล้วยังสามารถเลือกมุมมองของบอร์ดที่เราสร้างได้อีก เช่น มุมมอง Gant , Chart 4. ตั้งค่าการแจ้งเตือน โดยใช้ Automate ตัวอย่างเช่น เลือก Template เป็น when status change to something move item to group สามารถนำมาาใช้ได้ เช่น when สถานะการคืน change to คืนอุปกรณ์แล้ว move item to คืนอุปกรณ์แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการตั้งค่าแล้วกรณีหากมีการเปลี่ยนสถานะการคืนเป็นคืนอุปกรณ์แล้ว Itemที่ถูกเปลี่ยนสถานะจะย้ายลงมาในกลุ่มคืนอุปกรณ์แล้วอัตโนมัติ ตัวอย่าง มีการเปลี่ยนสถานะการคืนเป็นคืนอุปกรณ์แล้ว Itemที่ถูกเปลี่ยนสถานะจะย้ายลงมาในกลุ่มคืนอุปกรณ์แล้วอัตโนมัติ 5.ติดตามและจัดการ 6. สร้างรายงาน ไปที่เมนูด้านข้าง กดปุ่ม… Read more: วิธีการทำพนักงานเบิกจ่ายอุปกรณ์ใน monday.com
  • การตั้งค่าบัญชี monday.com คู่มือ
    การตั้งค่าบัญชี monday.com สามารถทำได้ง่ายๆ โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ ลงทะเบียนบัญชี ไปที่เว็บไซต์ Monday.com คลิกที่ “Get Started” หรือ ปุ่มเริ่มต้นใช้งาน หรือ “Sign Up.”    – กรอกข้อมูลพื้นฐาน โดยสามารถใช้อีเมลที่มีอยู่แล้ว หรือ กรอกข้อมูลอีเมลของบริษัทได้ เช่น ชื่อ, อีเมล, และรหัสผ่าน เพื่อสร้างบัญชี เข้าสู่ระบบ เมื่อกดเข้าใช้งานกรอกข้อมูลแล้วจะมีทางเลือกสำหรับการใช้งานให้เราเลือก โดยจะมีคำถาม เป็นการใช้งานเพื่อทำอะไร เช่น ทำงาน หรือ ใช้ส่วนตัว ใช้กี่คน ใช้สำหรับบริษัทธุรกิจใด ตำแหน่งงานใด วัตถุประสงค์ของการใช้งานเกี่ยวกับงานใด เป็นต้น เพื่อให้Monday.com แสดง Template ตรงกับการใช้งานของผู้สมัครใช้งาน คำถามสุดท้ายเป็นการเลือกว่าต้องการให้ในหน้ากระดานมีข้อมูลใในแต่ละแถวเป็นอะไรบ้าง เช่น ชื่อผู้ติดต่อ , เบอร์โทรศัพท์ , อีเมล เป็นต้น การแก้ไขโปรไฟล์ การแจ้งเตือน กล่องจดหมาย จะเห็นการอัปเดตทั้งหมดจากกระดานที่คุณสมัครรับข้อมูล โดยเฉพาะงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแต่ละรายการ เป็นข้อมูลที่เป็นฟีดข่าว และสามารถดูทุกสิ่งที่ทีมของคุณโพสต์บนบอร์ดได้  ไอคอนระฆัง  อยู่ที่บานหน้าต่างด้านซ้ายเป็นที่ที่คุณจะได้รับข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคุณโดยเฉพาะ (เช่น สิ่งที่คุณถูกแท็ก มอบหมายให้ ตอบกลับการอัปเดตที่เราเขียน ฯลฯ) การแจ้งเตือนทางอีเมล จะเปิดอยู่และส่งข้อมูลไปที่อีเมลที่ลงทะเบียนไว้ แต่สามารถไปที่การตั้งค่าโปรไฟล์เพื่อเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าดังกล่าวได้ การตั้งค่าการแจ้งเตือน ไปที่ “Notifications” หรือ “การแจ้งเตือน” ในการตั้งค่าบัญชีปรับแต่งการแจ้งเตือนเพื่อให้คุณได้รับการอัปเดตที่สำคัญ การจัดการทีมและผู้ใช้ คุณสามารถตั้งค่าสิทธิ์การเข้าถึงของสมาชิกในทีม เช่น การเข้าถึงโครงการหรือบอร์ดเฉพาะเชิญสมาชิกทีม ไปที่หน้า “My Work” หรือ “พื้นที่ทำงาน”… Read more: การตั้งค่าบัญชี monday.com คู่มือ
  • แนวทางปฏิบัติ การจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงาน
    การจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงาน เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) ขององค์กร เพื่อให้สามารถตรวจสอบ และใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล และปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ด้านล่างนี้คือลักษณะการจัดการเอกสาร และข้อมูลพนักงานอย่างละเอียด ทำไมการจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงานจึงสำคัญ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงาน 1. การเก็บรักษาเอกสารและข้อมูล การเก็บรักษาเอกสารและข้อมูลพนักงานควรมีความเป็นระบบ โดยแบ่งตามประเภทของเอกสาร เช่น 2. ระบบการจัดเก็บเอกสาร การจัดเก็บเอกสารสามารถทำได้ทั้งในรูปแบบ 3. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลพนักงานต้องคำนึงถึงทั้งการเข้าถึงข้อมูลที่จำกัดและการรักษาความเป็นส่วนตัว 4. การอัพเดทข้อมูล ข้อมูลพนักงานต้องได้รับการอัพเดทเป็นระยะ เพื่อให้ข้อมูลที่มีอยู่เป็นปัจจุบัน 5. การเก็บรักษาข้อมูลในระยะยาว องค์กรควรกำหนดระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลพนักงานแต่ละประเภท เช่น 6. การลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น ข้อมูลที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือเกินระยะเวลาการเก็บรักษาตามนโยบายขององค์กร ควรถูกลบออกเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพนักงาน 7. การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ การจัดการข้อมูลพนักงานต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น 8. การฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้อง พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงาน (เช่น ฝ่าย HR, ฝ่าย IT) ควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับ ประโยชน์ของการจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงานที่ดี ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงาน ข้อควรระวัง สรุป การจัดการเอกสารและข้อมูลพนักงาน อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรทุกขนาด การเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสม จะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย
  • แชร์โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า ฟรี
    โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า (CRM) ฟรีที่มีอยู่ในตลาดมีหลายตัวที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรที่ต้องการเริ่มต้นใช้ระบบ CRM โดยไม่ต้องลงทุนในโปรแกรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ความสำคัญของ โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า CRM 1. การเก็บข้อมูลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ 2. การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการขาย 4. การให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น 5. การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า 6. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาด 7. การทำงานร่วมกันในองค์กร 8. การรักษาลูกค้าเดิมและลดการสูญเสียลูกค้า 10 โปรแกรม CRM ฟรีที่สามารถใช้ในการจัดการข้อมูลลูกค้า 1. HubSpot CRM 2. Zoho CRM 3. Bitrix24 4. Agile CRM 5. Freshsales 6. Insightly 7. Streak CRM for Gmail 8. Capsule CRM 9. Sugar CRM 10. Pipedrive สรุป โปรแกรม CRM ที่แนะนำข้างต้นเป็นเครื่องมือฟรีที่มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยในการเก็บข้อมูลลูกค้าและการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของฟีเจอร์บางอย่างในเวอร์ชันฟรี หากต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การทำการตลาดอัตโนมัติ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก อาจจำเป็นต้องอัปเกรดเป็นเวอร์ชันที่ต้องจ่ายเงิน
  • แชร์ความรู้ โปรแกรม crm คืออะไร
    โปรแกรม CRM (Customer Relationship Management) หรือที่เรียกว่า “การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า” คือ ระบบที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเครื่องมือและฟีเจอร์หลายๆ อย่างเพื่อให้ธุรกิจสามารถติดตามและจัดการข้อมูลลูกค้าได้สะดวกและแม่นยำขึ้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ รวมถึงการเพิ่มยอดขาย การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และการรักษาลูกค้าให้มีความภักดีต่อธุรกิจในระยะยาว ฟังก์ชันหลักของโปรแกรม CRM ประเภทของโปรแกรม CRM ตัวอย่างการใช้งาน CRM ในธุรกิจ ข้อดีของการใช้โปรแกรม CRM ตัวอย่างโปรแกรม CRM ยอดนิยม โปรแกรม CRM (Customer Relationship Management) คือระบบที่ช่วยธุรกิจจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยการเก็บข้อมูลลูกค้า ติดตามโอกาสการขาย บริการลูกค้า และการตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ฟีเจอร์หลัก ได้แก่ การเก็บข้อมูลลูกค้า, การติดตามการขาย, การบริการลูกค้า, การทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม, และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจ ระบบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว เช่น โปรแกรม Salesforce, HubSpot, Bitrix24 และ Zoho เว็บไซต์: Bitrix24
  • โปรแกรม CRM ยอดนิยม มีตัวไหนบ้าง
    โปรแกรม CRM ยอดนิยม (Customer Relationship Management) หรือ ระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและจัดการข้อมูลลูกค้าได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า โปรแกรม CRM มักจะรวมฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การจัดการข้อมูลลูกค้า การติดตามการขาย การตลาด และการบริการลูกค้า รวมถึงเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ โปรแกรม CRM ยอดนิยม พร้อมรายละเอียดฟีเจอร์ ข้อดี และข้อเสียของแต่ละโปรแกรม 1. Salesforce ฟีเจอร์หลัก ข้อดี ข้อเสีย 2. HubSpot CRM ฟีเจอร์หลัก: ข้อดี ข้อเสีย: 3. Zoho CRM ฟีเจอร์หลัก: ข้อดี: ข้อเสีย: 4. Pipedrive ฟีเจอร์หลัก: ข้อดี: ข้อเสีย: 5. Microsoft Dynamics 365 ฟีเจอร์หลัก: ข้อดี: ข้อเสีย: 6. Freshsales ฟีเจอร์หลัก: ข้อดี: ข้อเสีย: สรุป โปรแกรม CRM แต่ละตัวมีข้อดีและข้อเสียที่เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน Salesforce เหมาะสำหรับองค์กรใหญ่ที่ต้องการฟีเจอร์ครบครัน, HubSpot เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการใช้งานง่าย, Zoho CRM เหมาะกับธุรกิจที่ต้อง
  • โปรแกรม CRM ฟรี ใช้งานง่ายและดีที่สุดรีวิว
    โปรแกรม CRM ฟรี (Customer Relationship Management) เป็นเครื่องมือที่ช่วยธุรกิจในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยมีการเก็บข้อมูลลูกค้า ติดตามการสื่อสาร และการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เราจะมาทบทวนโปรแกรม CRM ฟรีที่ใช้งานง่ายและดีที่สุด รวมทั้งยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจวิธีการใช้งานในแต่ละโปรแกรม 1. HubSpot CRM HubSpot CRM เป็นหนึ่งในโปรแกรม CRM ฟรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ที่ครบครัน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการจัดการลูกค้าโดยไม่ต้องใช้ระบบที่ซับซ้อน ฟีเจอร์หลัก ตัวอย่างการใช้งาน: สมมุติว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจการตลาดออนไลน์ หากลูกค้าส่งอีเมลสอบถามเกี่ยวกับบริการของคุณ คุณสามารถใช้ HubSpot CRM ในการเก็บข้อมูลลูกค้าและบันทึกการติดต่อเพื่อให้ทีมงานสามารถติดตามและตอบกลับได้อย่างรวดเร็ว ข้อดี: ข้อเสีย: เว็บไซต์: HubSpot CRM 2. Zoho CRM Zoho CRM เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการ CRM ฟรีที่มีฟีเจอร์ครบครัน โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ ฟีเจอร์หลัก: ตัวอย่างการใช้งาน: สมมุติว่าคุณกำลังเปิดร้านขายสินค้าผ่านออนไลน์ คุณสามารถใช้ Zoho CRM เพื่อจัดการฐานข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และรายละเอียดการสั่งซื้อที่ผ่านมา พร้อมทั้งติดตามสถานะของการขายในแต่ละขั้นตอน ข้อดี: ข้อเสีย: เว็บไซต์: Zoho CRM 3. Freshsales Freshsales จาก Freshworks เป็นอีกหนึ่งโปรแกรม CRM ที่ฟรีและใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบ CRM ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์หลัก: ตัวอย่างการใช้งาน: สมมุติว่าคุณทำธุรกิจบริการด้านการออกแบบกราฟิก คุณสามารถใช้ Freshsales ในการติดตามโครงการและลูกค้าที่สนใจ… Read more: โปรแกรม CRM ฟรี ใช้งานง่ายและดีที่สุดรีวิว
  • โปรแกรม bitrix24 ฟรีดีไหม (CRM)
    โปรแกรม Bitrix24 เป็นโปรแกรม CRM (Customer Relationship Management) ที่มีทั้งเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชันพรีเมียม ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง รวมถึงองค์กรที่ต้องการเครื่องมือที่ครบครันในการจัดการลูกค้าและการสื่อสารภายในองค์กร โดยไม่ต้องลงทุนในโปรแกรมราคาแพงมากตั้งแต่ต้น ความสามารถหลักของ Bitrix24 ในเวอร์ชันฟรี ข้อดีของ Bitrix24 ฟรี ข้อจำกัดของ โปรแกรม Bitrix24 ฟรี ตัวอย่างการใช้งาน Bitrix24 ตัวอย่างที่ 1 ธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ตัวอย่างที่ 2 ทีมงานที่ให้บริการด้านการตลาด คำแนะนำ สรุป Bitrix24 ในเวอร์ชันฟรีเป็นเครื่องมือ CRM ที่ครบครันและเหมาะสมสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่มีฟีเจอร์หลากหลาย แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางประการ เช่น จำนวนผู้ใช้และพื้นที่เก็บข้อมูลที่จำกัด แต่หากคุณมองหาซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่ายและสามารถปรับขยายได้ในอนาคต Bitrix24 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีและคุ้มค่า เว็บไซต์: Bitrix24
  • 7 ตัวอย่างที่ดีของการนำเสนอขายในปี 2024
    ตัวอย่างที่ดีของการนำเสนอขายในปี 2024 การนำเสนอขายในปี 2024 ยังคงต้องคำนึงถึงความแตกต่างทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมาก ซึ่งการนำเสนอขายที่ดีในปัจจุบันจะต้องใช้กลยุทธ์ที่เน้นประสบการณ์และการมีส่วนร่วมของลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า นี่คือ ตัวอย่างที่ดีของการนำเสนอขายในปี 2024 ความสำคัญในหลายด้าน ดังนี้ 1. สร้างความสนใจและดึงดูดลูกค้า การนำเสนอขายที่ดีสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยการนำเสนอสินค้าหรือบริการในรูปแบบที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น การนำเสนอสินค้าที่มีคุณสมบัติเด่นหรือโปรโมชั่นพิเศษที่ลูกค้าสนใจ ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจและอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนั้น ตัวอย่าง: หากนำเสนอสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตหรือมีเทคโนโลยีใหม่ ลูกค้าจะสนใจมากขึ้นและอาจตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น 2. สร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ การนำเสนอขายที่ดีสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในแบรนด์ได้ เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ถูกนำเสนอมีคุณค่าและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้ การให้ข้อมูลที่โปร่งใสและการให้คำแนะนำที่เหมาะสมช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้ ตัวอย่าง: แบรนด์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์หรือการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เช่น Patagonia หรือ Tesla ที่โปร่งใสในกระบวนการผลิตและค่านิยมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้น 3. ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย การนำเสนอขายที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย เพราะลูกค้าจะได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการและสามารถตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น การนำเสนอขายที่ไม่เพียงแต่แสดงคุณสมบัติของสินค้า แต่ยังให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมลูกค้าควรซื้อสินค้าชิ้นนั้นจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ตัวอย่าง: หากลูกค้ากำลังมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงรีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 4. สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การนำเสนอขายที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการ แต่ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ลูกค้าจะรู้สึกพึงพอใจที่ได้รับการบริการที่ดีและข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การกลับมาซื้อในอนาคต ตัวอย่าง: การให้บริการที่ดีจากพนักงานขายที่สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานสินค้า เช่น พนักงานที่แนะนำการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในร้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ 5. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การนำเสนอขายที่ดีช่วยให้ธุรกิจสามารถแตกต่างจากคู่แข่ง และดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น การที่ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการบริการที่ดี และมีข้อมูลที่ชัดเจนสามารถทำให้ธุรกิจโดดเด่นในตลาด ตัวอย่าง: ธุรกิจที่นำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูง และแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า (เช่น แอปพลิเคชันการสั่งซื้อออนไลน์) จะทำให้ธุรกิจนั้นสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่ดีของการนำเสนอขายในปี 2024 1. การใช้เทคโนโลยี AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า คำอธิบาย: ในปี… Read more: 7 ตัวอย่างที่ดีของการนำเสนอขายในปี 2024
  • การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลสำหรับนักขาย
    การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลสำหรับนักขาย (Personal Branding) สำหรับนักขายเป็นกระบวนการที่ช่วยให้นักขายสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ และจดจำในสายตาของลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้ารู้จักตัวตนของนักขาย แต่ยังช่วยเพิ่มความไว้วางใจและส่งเสริมการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ โดยการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลที่มีเอกลักษณ์ นักขายสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และประสบความสำเร็จในอาชีพของตนได้ สำหรับนักขายมีความสำคัญอย่างมากในยุคปัจจุบัน เพราะช่วยให้สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความเชื่อมั่นจากลูกค้า และทำให้ธุรกิจหรือสินค้าของตนเป็นที่รู้จัก และไว้วางใจในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การมีแบรนด์ส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลทำให้ลูกค้ารู้จักคุณในฐานะนักขายที่ไม่เหมือนใคร นักขายที่มีแบรนด์ส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งสามารถทำให้ลูกค้าเลือกที่จะทำธุรกิจกับเขามากกว่าคู่แข่ง เพราะพวกเขารู้สึกว่าเขามีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า ตัวอย่าง: 2. เพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความไว้วางใจ การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลที่ดีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวนักขาย เพราะลูกค้าจะรู้สึกมั่นใจว่าเขาจะได้รับข้อมูล และคำแนะนำที่มีคุณค่า การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขากำลังทำธุรกิจกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ตัวอย่าง: 3. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลทำให้นักขายสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้ เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าพวกเขากำลังทำธุรกิจกับคนที่เข้าใจความต้องการ และคอยให้คำแนะนำที่ดีที่สุด แบรนด์ส่วนบุคคลที่ดีช่วยเสริมสร้างความภักดีจากลูกค้า และกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ตัวอย่าง: 4. เพิ่มโอกาสในการขยายตลาด แบรนด์ส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งสามารถช่วยนักขายขยายฐานลูกค้าได้ง่ายขึ้น เพราะลูกค้ารู้จัก และเชื่อมั่นในตัวนักขายมากขึ้น การมีชื่อเสียงในวงการช่วยให้สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ และขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่าง: 5. สร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มแรงจูงใจ แบรนด์ส่วนบุคคลของนักขายสามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งลูกค้า และตัวนักขายเอง การที่นักขายสร้างความเป็นเอกลักษณ์ในการทำงานสามารถกระตุ้นให้เขามีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจ และได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการซื้อสินค้า ตัวอย่าง: 6. สร้างโอกาสในการพัฒนาตนเองและสร้างเครือข่าย การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลทำให้นักขายสามารถขยายเครือข่ายของตนเองได้ง่ายขึ้น โดยการมีชื่อเสียงที่ดีในวงการจะทำให้ได้รับโอกาสในการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญหรือเข้าร่วมในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาตนเอง และสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ตัวอย่าง: การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลสำหรับนักขาย ขั้นตอนและกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลสำหรับนักขาย ตัวอย่าง: นักขายที่มีประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจมุ่งเน้นไปที่การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเดินทางที่พิเศษ และให้บริการที่มีความเป็นมืออาชีพนักขายที่มีทักษะในการฟังและเข้าใจความต้องการของลูกค้าอาจจะใช้ความสามารถนี้ในการให้คำแนะนำและตอบสนองลูกค้าอย่างรวดเร็วและตรงจุด ตัวอย่าง: หากนักขายให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า แม้จะไม่ได้สร้างผลประโยชน์โดยตรงให้กับตนเอง เช่น แนะนำสินค้าอื่นที่มีราคาถูกกว่าและเหมาะสมกว่า ลูกค้าจะรู้สึกว่าตัวนักขายมีความจริงใจและจะกลับมาซื้อสินค้าจากเขาในอนาคตนักขายสามารถใช้คำแนะนำจากลูกค้าคนอื่นๆ เช่น รีวิวหรือการพูดถึงในโซเชียลมีเดีย เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ ตัวอย่าง:… Read more: การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลสำหรับนักขาย
  • จิตวิทยาการขาย ทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค
    จิตวิทยาการขาย ทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค คือ การใช้ความเข้าใจในพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์การขาย และการสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้นักขายสามารถคาดเดา และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคช่วยให้นักขายเข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้า และบริการ และสามารถปรับปรุงเทคนิคการขายเพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้ หลักการ จิตวิทยาการขาย ทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค 1. การกระตุ้นทางอารมณ์ คนมักตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการโดยอาศัยอารมณ์มากกว่าการตัดสินใจเชิงเหตุผล หากนักขายสามารถกระตุ้นอารมณ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า จะช่วยให้การขายประสบผลสำเร็จ 2. ความต้องการทางจิตวิทยา (Maslow’s Hierarchy of Needs) ตามทฤษฎีของ Maslow ความต้องการของมนุษย์สามารถแบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ความต้องการพื้นฐาน (น้ำ, อาหาร) ความปลอดภัย (ที่อยู่อาศัย) ความสัมพันธ์ (ความรัก และการยอมรับ) ความนับถือ (การได้รับความเคารพ) และการพัฒนา (ความสำเร็จ, ความเป็นตัวของตัวเอง) เมื่อเข้าใจถึงความต้องการเหล่านี้ นักขายสามารถนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด 3. การให้ความสำคัญกับ “ความขาดแคลน” แนวคิดนี้อ้างอิงจากหลักจิตวิทยาที่ว่า “มนุษย์มีความรู้สึกต้องการสิ่งที่หายากหรือมีจำกัด” นักขายสามารถใช้เทคนิคนี้ในการสร้างความรู้สึกเร่งด่วน และความอยากได้สิ่งนั้นมากขึ้น 4. การใช้ความเชื่อถือจากบุคคลอื่น (Social Proof) ผู้บริโภคมักจะตัดสินใจตามสิ่งที่คนอื่นทำเช่นกัน เช่น การอ่านรีวิวจากลูกค้าคนอื่น ๆ หรือการดูจำนวนผู้ใช้สินค้าของแบรนด์นั้น ๆ 5. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว พฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยการซื้อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ยังมองหาความสัมพันธ์ที่ยาวนาน การแสดงความใส่ใจในลูกค้าหลังการขายจะช่วยสร้างความภักดี และทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำ 6. การใช้การตัดสินใจที่รวดเร็ว (Instant Gratification) ผู้บริโภคมักชอบสิ่งที่สามารถให้ผลลัพธ์ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำให้การขายสำเร็จได้โดยไม่ต้องรอเวลานาน 7. การกระตุ้นด้วยข้อเสนอที่ดีกว่า (Reciprocity Principle) หลักการนี้หมายถึงการให้บางสิ่งบางอย่างกับลูกค้า ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากตอบแทน… Read more: จิตวิทยาการขาย ทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค
  • เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวงการขาย
    เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวงการขาย ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการขายและการทำธุรกิจ เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของนักขาย, สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า, และช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการขาย เช่น การใช้ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM), การใช้เครื่องมืออัตโนมัติ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การตลาดดิจิทัล, และการใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการขายได้ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวงการขาย ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการขาย 1. ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ระบบ CRM เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการและติดตามข้อมูลลูกค้า ระบบนี้ช่วยให้ทีมขายสามารถติดตามประวัติการซื้อของลูกค้า, ความต้องการ, และพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์การขายและการติดต่อสื่อสารได้ตรงจุด 2. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในวงการขายมากขึ้น เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า, การทำนายความต้องการของลูกค้า, หรือการใช้แชทบอทในการตอบคำถามลูกค้าโดยอัตโนมัติ 3. การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) การใช้เทคโนโลยีในการทำการตลาดดิจิทัลได้เปลี่ยนวิธีการเข้าถึงลูกค้าของนักขาย การใช้โฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย, การทำ SEO (Search Engine Optimization), และการทำการตลาดผ่านอีเมลล์ ช่วยให้สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำมากขึ้น 4. การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย (Social Selling) โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล (Personal Branding) และในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย หรือ “Social Selling” ช่วยให้นักขายสามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของตนได้เร็วขึ้น 5. การใช้เทคโนโลยีการชำระเงิน (Payment Technology) การใช้เทคโนโลยีในการชำระเงินช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า เมื่อการชำระเงินเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็ว ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น… Read more: เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวงการขาย
  • การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive Marketing) กับการขาย
    การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive Marketing) กับการขาย คือ กระบวนการที่สร้างการเชื่อมต่อและการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้าผ่านการตอบสนองแบบสองทาง ซึ่งหมายความว่า ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์ ไม่เพียงแต่รับข้อมูลจากบริษัทเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงความคิดเห็นและขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำให้การตลาดมีความเป็นส่วนตัวและตรงจุดมากขึ้น การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์นี้ช่วยสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับลูกค้าและสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ระยะยาวกับแบรนด์ได้ การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive Marketing) กับการขาย และ ทีมการตลาดสามารถตอบสนองตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ผ่านการตอบสนองความต้องการหรือคำถามของพวกเขาแบบเรียลไทม์ การเชื่อมโยงระหว่างการตลาดแบบปฏิสัมพันธ์และการขาย การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์มีความสำคัญในกระบวนการขายอย่างมาก โดยเฉพาะในการเพิ่มอัตราการแปลงลูกค้า (conversion rate) การสร้างประสบการณ์ที่ดีในระหว่างการสนทนาหรือการติดต่อสื่อสารทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ และช่วยในการปิดการขายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักขายและลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็นพิเศษและความใส่ใจจากแบรนด์\ 1. สร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล (Personalized Experience) การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจและเข้าใจในความต้องการของพวกเขา การมีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ ช่วยกระตุ้นความสนใจและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ซึ่งสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น ตัวอย่าง: 2. การทำการตลาดผ่านการสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์เน้นการสื่อสารที่เป็นสองทางระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการตอบสนองต่อคำถามหรือข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ ตัวอย่าง: 3. การใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างความสัมพันธ์ (Social Media Engagement) การใช้โซเชียลมีเดียในการทำการตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าทุกที่ทุกเวลา ผ่านการโพสต์, การตอบคอมเมนต์, หรือการจัดกิจกรรมออนไลน์ที่กระตุ้นให้ลูกค้าร่วมกิจกรรมหรือแสดงความคิดเห็น ตัวอย่าง: 4. การใช้ข้อมูลเพื่อการคาดการณ์และการปรับการขาย (Data-driven Insights) การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ช่วยให้นักขายและทีมการตลาดสามารถรวบรวมข้อมูลจากการมีส่วนร่วมของลูกค้า เช่น การตอบแบบสอบถาม, การเข้าร่วมกิจกรรม, หรือการดูสินค้าผ่านออนไลน์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการทำนายพฤติกรรมของลูกค้าและการปรับกลยุทธ์การขายให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่าง: การขาย: เมื่อลูกค้ารู้สึกว่า Amazon แนะนำสินค้าให้ตรงกับความสนใจของพวกเขา พวกเขาจะมีความโน้มเอียงที่จะทำการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ทันที Amazon: ใช้ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อและการค้นหาของลูกค้าในการแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องหรือสินค้าที่ลูกค้าสามารถสนใจ ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลจากการตลาดแบบปฏิสัมพันธ์เพื่อปรับแนะนำสินค้าให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ตัวอย่างของการตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ที่มีผลต่อการขาย ทำไมการตลาดแบบปฏิสัมพันธ์จึงสำคัญสำหรับการขาย ตัวอย่างการตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ที่ใช้ในการขาย การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์แตกต่างจากการขายตรงอย่างไร การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ การขายตรง… Read more: การตลาดแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive Marketing) กับการขาย
  • บริหารทีมขายแบบดั้งเดิม vs แบบใช้เทคโนโลยีแบบไหนได้ผลกว่า
    ทีมขายแบบดั้งเดิม และ แบบใช้เทคโนโลยีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ, ตลาด, และเป้าหมายขององค์กร แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขาย โดยเฉพาะในการเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าและการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า การบริหารทีมขายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจทุกประเภท และในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้รูปแบบการบริหารทีมขายจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหลายท่านให้ความสนใจ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบระหว่างวิธีการแบบดั้งเดิม กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ 1. ทีมขายทั้งแบบดั้งเดิม (Traditional Sales Management) การบริหารทีมขายแบบดั้งเดิมหมายถึงการใช้วิธีการที่คุ้นเคยและได้รับการพิสูจน์แล้วในอดีต เช่น การตั้งเป้าหมายการขายที่ชัดเจน, การฝึกอบรมทีมขาย, การใช้การประชุมแบบตัวต่อตัว หรือการติดต่อกับลูกค้าผ่านโทรศัพท์หรือพบปะโดยตรง วิธีนี้มักมุ่งเน้นที่การขายในระดับบุคคล (One-to-One Sales Approach) ข้อดีของการบริหารทีมขายแบบดั้งเดิม 2. การบริหารทีมขายแบบใช้เทคโนโลยี (Technology-Driven Sales Management) การบริหารทีมขายแบบใช้เทคโนโลยีหมายถึงการใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย เช่น CRM (Customer Relationship Management), เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล, การใช้การตลาดดิจิทัล, แพลตฟอร์มการขายออนไลน์, หรือ AI เพื่อช่วยในการติดตามลูกค้าและกระบวนการขาย ข้อดีของการบริหารทีมขายแบบใช้เทคโนโลยี การปรับแต่งประสบการณ์ส่วนบุคคล: เทคโนโลยีช่วยให้นักขายสามารถปรับประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับให้ตรงกับความต้องการและความชอบของพวกเขา เช่น การแนะนำสินค้าที่เหมาะสมผ่าน AI หรือการใช้โฆษณาที่มีการปรับแต่ง (Targeted Ads) การเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก: เทคโนโลยีทำให้ทีมขายสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย, อีเมล, หรือเว็บไซต์ การทำงานอัตโนมัติ (Automation): การใช้เทคโนโลยีช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติ, การตั้งเวลาการติดตามลูกค้า, หรือการใช้แชทบอทเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นกับลูกค้า ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย: เครื่องมือ CRM ช่วยให้ทีมขายสามารถติดตามข้อมูลลูกค้า, ประวัติการซื้อ, และพฤติกรรมลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจในการขายมีความแม่นยำมากขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics): การใช้เทคโนโลยีช่วยให้นักขายสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและทำความเข้าใจแนวโน้มการซื้อได้ดีขึ้น… Read more: บริหารทีมขายแบบดั้งเดิม vs แบบใช้เทคโนโลยีแบบไหนได้ผลกว่า
  • 7 ทักษะเด่นด้านการขายที่เซลส์ยุค New Normal ควรมี
    โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้นักขายยุคใหม่ต้องปรับตัว และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขัน และประสบความสำเร็จได้ในยุคดิจิทัลนี้ นี่คือ 7 ทักษะเด่นด้านการขายที่เซลส์ยุค New Normal 1. ทักษะการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล (Tech Savvy) การใช้เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่การทำธุรกิจส่วนใหญ่เกิดขึ้นออนไลน์ นักขายต้องรู้จักใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น CRM, Social Media, Video Conferencing, และ Marketing Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสาร และจัดการกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ทักษะการขายแบบปรับแต่งส่วนบุคคล (Personalized Selling) ลูกค้าในยุคนี้มีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป นักขายต้องสามารถปรับแต่งการขายให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล หรือการนำเสนอที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย โดยการใช้ข้อมูล และเทคโนโลยีในการช่วยแนะนำสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมที่สุด 3. ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) การสื่อสารที่ดีเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการขาย เพราะการเข้าใจความต้องการของลูกค้า และการอธิบายคุณค่าของสินค้าหรือบริการได้อย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ การใช้ทักษะการฟัง และการถามคำถามที่ดีช่วยให้เซลส์สามารถตอบสนองได้ตรงจุด 4. ทักษะการปรับตัว (Adaptability) การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญในยุค New Normal เนื่องจากการทำงานจากระยะไกล, การประชุมออนไลน์ และการเปลี่ยนแปลงของตลาดเกิดขึ้นบ่อยๆ นักขายต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของลูกค้า 5. ทักษะการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Relationship Building) การสร้าง และรักษาความสัมพันธ์ที่ดี และยั่งยืนกับลูกค้าเป็นทักษะที่สำคัญในการขาย โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าเปลี่ยนไปค่อนข้างเร็ว การรักษาความสัมพันธ์นั้นต้องใช้ทั้งความเอาใจใส่, การตอบสนองที่รวดเร็ว และ การให้บริการที่ดี 6. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis Skills) การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นทักษะที่มีความสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การขาย นักขายสามารถใช้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือ CRM, การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า, และการขายในอดีตมาใช้ในการคาดการณ์ผลลัพธ์ และปรับกลยุทธ์การขาย 7.… Read more: 7 ทักษะเด่นด้านการขายที่เซลส์ยุค New Normal ควรมี
  • นักขายยุคใหม่ ปรับวิถีการทำงานอย่างไรให้ปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว
    นักขายยุคใหม่ กับ โลกยุคดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย นักขายยุคใหม่จึงต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อให้สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเป็น นักขายยุคใหม่ ที่สามารถ ปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้าน เทคโนโลยี, ทักษะการสื่อสาร, และ กลยุทธ์การขาย ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจพฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้าในยุคดิจิทัลด้วย นักขายในยุคใหม่จึงต้องมีวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เทคนิคที่นักขายยุคใหม่ควรนำไปปรับใช้ วิธีการปรับวิถีการทำงานเพื่อปิดการขายได้เร็วขึ้น 1. ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัยสามารถช่วยให้กระบวนการขายเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้าและติดตามการสนทนาอย่างต่อเนื่อง, การใช้ Automation Tools เพื่อส่งอีเมลอัตโนมัติหรือข้อความเพื่อเตือนลูกค้าถึงข้อเสนอพิเศษ และ Sales Enablement Tools ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเสนอ 2. การสร้างความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว นักขายยุคใหม่ต้องสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผ่านการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่การติดต่อครั้งแรก การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 3. การนำเสนอที่ตรงจุดและกระชับ การขายที่ดีในยุคนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการนำเสนอที่ยาวนาน แต่ต้องสามารถเข้าใจปัญหาของลูกค้าและนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการได้ทันที 4. การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ในการตัดสินใจ (Data-Driven Selling) นักขายต้องสามารถใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการใช้เครื่องมือที่สามารถติดตามกิจกรรมของลูกค้า เช่น การใช้ Analytics หรือ Behavior Tracking ในการวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มในการตัดสินใจซื้อ 5. การปิดการขายที่มีประสิทธิภาพ นักขายยุคใหม่ต้องมีทักษะในการปิดการขายที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น Urgency Close (สร้างความเร่งด่วน), Assumptive Close (สมมติว่าลูกค้าตัดสินใจแล้ว), หรือ Trial Close (การทดสอบการตัดสินใจ) เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น 6.… Read more: นักขายยุคใหม่ ปรับวิถีการทำงานอย่างไรให้ปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว
  • เทคนิคการขายสินค้า ขายอย่างไรให้ลูกค้าอยากซื้อ
    เทคนิคการขายสินค้า ให้ลูกค้าอยากซื้อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะทำได้ หากคุณมีเทคนิคและกลยุทธ์ที่ถูกต้อง การขายสินค้าจะกลายเป็นเรื่องสนุกและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น การขายสินค้าให้ลูกค้าอยากซื้อไม่ใช่แค่การพูดถึงข้อดีของสินค้าหรือบริการของคุณ แต่ต้องใช้ เทคนิคการขายสินค้า ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า กระตุ้นความสนใจ และตอบสนองความต้องการหรือปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ในที่นี้จะขออธิบาย เทคนิคการขาย ที่สำคัญพร้อมกับ ตัวอย่างการใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง 1. การทำความเข้าใจลูกค้า (Customer Needs Analysis) การเริ่มต้นที่ดีสำหรับการขายสินค้า คือการ เข้าใจความต้องการ ของลูกค้าให้ลึกซึ้ง ก่อนที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการ การถามคำถามที่ดีสามารถช่วยคุณเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ จากนั้นคุณสามารถเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการเหล่านั้น เทคนิค: ตัวอย่าง: 2. การใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling) การใช้ เรื่องราว หรือ Case Study ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า สามารถช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพและเชื่อมโยงสินค้าได้ดีขึ้น เพราะมนุษย์มักจะเชื่อมโยงการตัดสินใจของตนเองผ่านอารมณ์และประสบการณ์ของผู้อื่น เทคนิค: ตัวอย่าง: 3. การสร้างความรู้สึกเร่งด่วน (Urgency) การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนสามารถช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเร็วขึ้น โดยการใช้คำพูดที่แสดงถึงความจำเป็นหรือข้อเสนอที่มีเวลา จำกัด เทคนิค: ตัวอย่าง: 4. การใช้เทคนิคการปิดการขาย (Closing Techniques) การใช้เทคนิคปิดการขายที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจ คุณสามารถใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อชี้นำลูกค้าไปสู่การตัดสินใจ เทคนิค: ตัวอย่าง: 5. การใช้คำพูดที่เน้นผลประโยชน์ (Benefit-Focused Language) การเน้นผลประโยชน์ของสินค้าให้ลูกค้าเห็นชัดเจนสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าในการตัดสินใจซื้อ เทคนิค: ตัวอย่าง: 6. การให้การรับประกันและการป้องกันความเสี่ยง (Guarantee & Risk Reversal) การรับประกันคุณภาพและการให้ลูกค้ามั่นใจว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเป็นเทคนิคที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและลดความเสี่ยงในการตัดสินใจซื้อ เทคนิค: ตัวอย่าง: เทคนิคการขาย เทคนิคเพิ่มเติม สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ตัวอย่างประโยคที่ใช้ในการขาย… Read more: เทคนิคการขายสินค้า ขายอย่างไรให้ลูกค้าอยากซื้อ
  • 12 ข้อคิดสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ
    12 ข้อคิดสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ การเป็นนักขายมืออาชีพไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอสินค้า แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า การเข้าใจ และนำไปใช้หลักการเหล่านี้ จะช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ การเป็นนักขายมืออาชีพ คือการพัฒนาทักษะ และทัศนคติที่ช่วยให้สามารถขายสินค้า และบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสม่ำเสมอ ความสำเร็จในอาชีพนี้ไม่เพียงแค่การปิดการขาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า การเข้าใจความต้องการ และการให้บริการที่ยอดเยี่ยม ต่อไปนี้คือ 12 ข้อคิดสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ 1. เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง (Know Your Customer) ตัวอย่าง: หากลูกค้าเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน คุณอาจนำเสนอเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในราคาที่คุ้มค่า และเหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็ก ความหมาย: การเข้าใจลูกค้าไม่ใช่แค่การรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร แต่ยังรวมถึงการเข้าใจในพฤติกรรม ความต้องการที่แท้จริง และปัญหาที่พวกเขาต้องการแก้ไข ความสำคัญ: การเข้าใจลูกค้าจะช่วยให้นักขายสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและตอบโจทย์ได้ดีที่สุด 2. ฟังมากกว่าพูด (Listen More Than You Speak) 3. มีความอดทนและความสม่ำเสมอ (Be Patient and Consistent) 4. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า (Build Long-Term Relationships) 5. รู้จักสินค้าของตนเองเป็นอย่างดี (Know Your Product) 6. รู้จักการตั้งคำถามที่มีประสิทธิภาพ (Ask Effective Questions) 7. เน้นที่ผลประโยชน์ของลูกค้า (Focus on Benefits, Not Features) 8. การแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Problem Solving) 9. การปิดการขายอย่างมั่นใจ (Confident Closing) 10. การปรับตัวตามสถานการณ์ (Adaptability)… Read more: 12 ข้อคิดสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ
  • Sales Manager ยุคใหม่ ต้องใช้เครื่องมืออะไรได้บ้าง
    Sales Manager ยุคใหม่ ต้องมีความสามารถในการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทีมขาย การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การติดตามผลการขาย, การวิเคราะห์ข้อมูล, การสื่อสาร และการสร้างกลยุทธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดและพฤติกรรมของลูกค้า เครื่องมือเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท ดังนี้: 1. เครื่องมือสำหรับการจัดการทีมขาย (Sales Team Management Tools) 2. เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์และรายงานข้อมูลการขาย (Sales Analytics and Reporting Tools) 3. เครื่องมือสำหรับการติดต่อสื่อสาร (Communication Tools) 4. เครื่องมือสำหรับการสร้างและจัดการเนื้อหาการขาย (Sales Content Management) 5. เครื่องมือสำหรับการขายอัตโนมัติ (Sales Automation Tools) 6. เครื่องมือสำหรับการฝึกอบรมและพัฒนาทีมขาย (Sales Training and Development Tools) 7. เครื่องมือสำหรับการทำการตลาด (Marketing Automation Tools) เคล็ดลับในการเลือกใช้เครื่องมือ สรุป Sales Manager ยุคใหม่ ต้องใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตั้งแต่การจัดการทีมขายด้วย CRM และเครื่องมือการจัดการโปรเจกต์, การวิเคราะห์ข้อมูลการขายด้วย Business Intelligence และ Sales Analytics Tools, การสื่อสารผ่าน Slack หรือ Zoom, การใช้เครื่องมือ Sales Automation และ Sales Content Management ไปจนถึงการฝึกอบรมทีมด้วยเครื่องมือ Sales Training Tools การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้… Read more: Sales Manager ยุคใหม่ ต้องใช้เครื่องมืออะไรได้บ้าง
  • Sales Supervisor มีหน้าที่อะไร
    Sales Supervisor หรือผู้ดูแลฝ่ายขาย มีความสำคัญในการบริหารจัดการทีมงานฝ่ายขายเพื่อให้การขายสินค้าและบริการของบริษัทมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังต้องประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ขององค์กรเพื่อสนับสนุนและพัฒนากระบวนการขายให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น หน้าที่หลักอาจแบ่งออกเป็นหลายๆ ด้านดังนี้ หน้าที่หลักของ Sales Supervisor ได้แก่ 1. การบริหารจัดการทีมขาย 2. การตั้งเป้าหมายและวางแผนการขาย 3. การประสานงานและการสื่อสารกับฝ่ายอื่นๆ 4. การดูแลลูกค้าและการรักษาความสัมพันธ์ 5. การตรวจสอบและรายงานผล 6. การพัฒนาทักษะและความสามารถ 7. การบริหารจัดการงบประมาณ 8. การวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง ทักษะที่สำคัญของผู้ดูแลฝ่ายขาย 1. ทักษะการบริหารจัดการทีม (Leadership Skills) 2. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) 3. ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem-Solving Skills) 4. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytical Skills) 5. ทักษะการจัดการเวลา (Time Management Skills) 6. ทักษะการสร้างแรงจูงใจ (Motivational Skills) 7. ทักษะการวางกลยุทธ์การขาย (Sales Strategy Skills) 8. ทักษะในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) 9. ทักษะการทำงานร่วมกับทีม (Teamwork Skills) สรุป ผู้ดูแลฝ่ายขาย มีบทบาทสำคัญในการดูแลทีมขายให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยทำการตั้งเป้าหมาย วางแผน และติดตามผลการดำเนินงาน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาทักษะให้กับทีมขาย นอกจากนี้ยังต้องประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เพื่อให้กระบวนการขายดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการดูแลรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าและตรวจสอบผลการขายอย่างต่อเนื่อง
  • อยากเป็น Sales manager ต้องทำอย่างไร
    การที่ผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องการพัฒนาตัวเองและมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการบริหารทีมขายให้ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันนั้นมีหลายด้านที่ควรทำความเข้าใจและพัฒนา ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการขายโดยตรงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการบริหารทีม การวางกลยุทธ์ การใช้เทคโนโลยี และการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้การดำเนินงานของแผนกขายสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เป็น Sales Manager ยุคใหม่ ต้องใช้เครื่องมืออะไรได้บ้าง ได้ที่ลิงค์ 1. เข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายขายมีบทบาทที่หลากหลายและสำคัญ ซึ่งรวมถึง 2. ทักษะสำคัญที่ผู้จัดการฝ่ายขายควรมี 2.1 ทักษะการบริหารทีม (Team Leadership) 2.2 ทักษะการวางกลยุทธ์การขาย (Sales Strategy) 2.3 ทักษะการสื่อสารและการเจรจาต่อรอง (Communication & Negotiation Skills) 2.4 ทักษะการใช้เทคโนโลยี (Tech-Savvy) 2.5 ทักษะการวิเคราะห์และการตัดสินใจ (Analytical & Decision-Making Skills) 2.6 ทักษะการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) 2.7 ทักษะการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) 3. การเตรียมตัวและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณสมบัติที่สำคัญของ Sales Manager ที่ดี
  • การรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขาย
    การรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขาย เป็นสิ่งที่ท้าทายและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทีมขายและผู้บริหาร เนื่องจากความล้มเหลวอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากตัวสินค้าหรือบริการ, กระบวนการขาย, หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมของผู้ขายเอง หากไม่ได้รับการจัดการที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจของทีมขายและผลลัพธ์ทางธุรกิจ ดังนั้น การรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขายจึงต้องอาศัยทักษะในการวิเคราะห์, การปรับปรุงกระบวนการ, และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในทีมขาย ทำไมต้องมี การรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขาย วิธีรับมือกับความล้มเหลวในการขาย ขั้นตอนการรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขาย 1. การยอมรับและทำความเข้าใจกับความล้มเหลว ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องผิดปกติในธุรกิจ โดยเฉพาะในงานขาย ซึ่งเป็นงานที่มีความท้าทายสูง การยอมรับว่าเกิดความล้มเหลวจะช่วยให้ทีมขายสามารถเรียนรู้จากมันได้มากขึ้น แทนที่จะมองว่าเป็นความพ่ายแพ้ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าเหตุใดความล้มเหลวจึงเกิดขึ้น เช่น สินค้าไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า, กระบวนการขายไม่ได้ผล, หรือการขาดการติดตามที่เหมาะสม ตัวอย่าง: 2. การวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลว หลังจากยอมรับความล้มเหลวแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลว ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น กระบวนการขายที่ไม่เป็นระเบียบ, ข้อมูลลูกค้าที่ไม่ถูกต้อง, หรือการขาดทักษะในการปิดการขาย การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้สามารถปรับปรุงแผนการทำงานในอนาคตได้ ตัวอย่าง: 3. การปรับปรุงและพัฒนาทักษะ การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของทีมขายเป็นการรับมือกับความล้มเหลวที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพูดโน้มน้าว, การตั้งคำถามที่มีประสิทธิภาพ, การฟังความต้องการของลูกค้า, และการปิดการขาย ทักษะเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการขาย ตัวอย่าง: 4. การรักษาความมุ่งมั่นและแรงจูงใจ การรักษาความมุ่งมั่นและแรงจูงใจในทีมขายหลังจากประสบความล้มเหลวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะความล้มเหลวอาจทำให้ทีมขายรู้สึกท้อแท้หรือหมดกำลังใจ การสนับสนุนและการให้กำลังใจจากผู้บริหารสามารถช่วยให้ทีมขายกลับมามีความมั่นใจและพร้อมจะพยายามอีกครั้ง ตัวอย่าง: 5. การติดตามและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง การประเมินผลการขายอย่างสม่ำเสมอเป็นการรับมือกับความล้มเหลวในระยะยาว โดยต้องมีการติดตามการดำเนินงานและวิเคราะห์ผลอย่างละเอียด หากพบว่ากลยุทธ์เดิมไม่สามารถทำงานได้ ควรมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์หรือความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่าง: 6. การสร้างแผนสำรอง (Contingency Plan) การเตรียมแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเป็นการป้องกันความล้มเหลวในอนาคต เมื่อเกิดปัญหาในแผนการขายหรือกระบวนการทำงาน ทีมขายจะสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง: การรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขายมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและพัฒนาขึ้นได้ แม้ว่าความล้มเหลวจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ดีในตอนแรก แต่หากจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถนำไปสู่การปรับปรุงที่ดีขึ้นในระยะยาว ข้อดีของการรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขายมีดังนี้ 1. โอกาสในการเรียนรู้และปรับปรุง เมื่อเกิดความล้มเหลว, ธุรกิจสามารถใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งอาจช่วยให้ค้นพบปัญหาหรือข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่… Read more: การรับมือกับความล้มเหลวในฝ่ายขาย
  • การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย
    การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย เป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการ, สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า, และเพิ่มยอดขายได้ ซึ่งในปัจจุบันโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการตลาด เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมากและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย ทำไมต้องใช้โซเชียลมีเดียในการขาย ประโยชน์ของ การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Trust): การแสดงรีวิวหรือความคิดเห็นจากลูกค้าจริงบนโซเชียลมีเดียช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ารายใหม่ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้าง: โซเชียลมีเดียเช่น Facebook, Instagram, Twitter, TikTok, หรือ LinkedIn มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถเข้าถึงผู้คนหลากหลายกลุ่มที่อาจสนใจในสินค้าและบริการของเรา สามารถโต้ตอบและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้: โซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบคำถามและรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าได้อย่างทันที สร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness): การโพสต์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ช่วยให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้และอาจเกิดการซื้อในที่สุด การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย ดีอย่างไร 1. การเข้าถึงลูกค้าในวงกว้าง โซเชียลมีเดียมีผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากว้างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณสูงเพื่อเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก เช่น การใช้ Facebook, Instagram หรือ TikTok เพื่อแสดงสินค้าหรือบริการให้ผู้ใช้หลายพันหลายล้านคนเห็น 2. ต้นทุนการตลาดที่ต่ำ การใช้โซเชียลมีเดียในการขายไม่ต้องการงบประมาณสูงเหมือนการโฆษณาผ่านสื่อแบบดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์หรือวิทยุ ธุรกิจสามารถเลือกใช้วิธีการโฆษณาหรือโปรโมทแบบที่เหมาะสมกับงบประมาณ เช่น การสร้างโพสต์หรือวิดีโอที่ไม่ต้องลงทุนมาก แต่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ 3. การสร้างแบรนด์และการรับรู้ (Brand Awareness) การโพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่า เช่น คำแนะนำ, รีวิวจากลูกค้า, หรือการแสดงสินค้าอย่างมีสไตล์ ช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ของธุรกิจ โดยที่ผู้คนจะจำได้และเริ่มรู้จักธุรกิจของคุณเมื่อเห็นโพสต์หรือโฆษณา ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในอนาคต 4. การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า (Engagement) โซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ธุรกิจสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เช่น การตอบคำถาม, รับข้อเสนอแนะ, หรือการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อเห็นว่าธุรกิจให้ความสนใจและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา 5. การตั้งเป้าหมายและเจาะกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำ การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด เช่น การเลือกกลุ่มลูกค้าตามอายุ, ความสนใจ, สถานที่,… Read more: การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย
  • Skill อะไรบ้าง ที่ผู้จัดการฝ่ายขายต้องมี
    ในยุคที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายขายจำเป็นต้องมีทักษะ (Skill) ที่หลากหลายและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อนำพาทีมงานให้ประสบความสำเร็จ และสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน สามารถดูบทความตัวอย่าง KPI ฝ่ายขาย เพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ ทักษะ (Skill) ที่ผู้จัดการฝ่ายขายควรมีในยุค AI 1. ทักษะการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือ AI 2. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) 3. ทักษะการจัดการทีม (Team Management) 4. ทักษะการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี (Customer Experience) 5. ทักษะการตัดสินใจและกลยุทธ์ (Decision-Making & Strategy) 6. ทักษะการปรับตัว (Adaptability) นอกจากทักษะที่กล่าวมาข้างต้น ผู้จัดการฝ่ายขายยังควรมีคุณสมบัติอื่นๆ ดังนี้ สรุป ผู้จัดการฝ่ายขายในยุค AI จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและทีมงาน เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
  • ฝ่ายขาย upskill ในยุค AI
    Upskill ฝ่ายขาย ในยุค AI สู่การเป็นนักขายแห่งอนาคต ยุค AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกวงการ รวมถึงวงการขาย การจะก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ การ upskill หรือการพัฒนาทักษะให้ทันสมัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถดูบทความตัวอย่าง KPI ฝ่ายขาย เพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ ทำไมการ Upskill ฝ่ายขายจึงสำคัญในยุค AI 1. AI ไม่สามารถแทนที่ “มนุษย์” ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า 2. การปรับตัวให้ทันกับเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ 3 การทำงานร่วมกับ AI และ Automation 4 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทักษะที่นักขายควรมีในยุค AI วิธีการ Upskill ฝ่ายขาย สรุป การ Upskill ฝ่ายขายในยุค AI เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การลงทุนในการพัฒนาทักษะของพนักงานขาย จะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการขายและความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว
  • บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน
    บทบาทและหน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของตลาดในโลกดิจิทัล ซึ่งทำให้การทำงานของพนักงานขายในปัจจุบันไม่ใช่แค่การขายสินค้าอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการให้บริการลูกค้า การใช้เครื่องมือออนไลน์ในการขาย การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการขาย บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน มีดังนี้ 1. การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า (Relationship Building) ในยุคปัจจุบัน พนักงานขายไม่ได้มุ่งเน้นแค่การขายในครั้งเดียว แต่ยังต้องเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำและลูกค้ารู้สึกพึงพอใจ ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าในอนาคต และแนะนำให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวรู้จักสินค้า ตัวอย่าง: 2. การใช้เทคโนโลยีในการขายและการตลาด (Sales and Marketing Technology) การใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญของการขายในยุคปัจจุบัน พนักงานขายต้องสามารถใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เช่น ระบบ CRM (Customer Relationship Management), การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย, การใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการขาย และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้เกิดการขายที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง: 3. การให้คำปรึกษาและแนะนำสินค้า (Consultative Selling) การขายในยุคปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นแค่การขายสินค้าตามคำสั่งของลูกค้า แต่ยังต้องการให้พนักงานขายทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา (Consultant) โดยแนะนำสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยการเข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่าง: 4. การตอบสนองและการให้บริการลูกค้า (Customer Service and Support) พนักงานขายในยุคปัจจุบันต้องสามารถให้บริการลูกค้าหลังการขายได้ดี เพราะลูกค้าต้องการความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาหรือคำถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ ซึ่งการให้บริการหลังการขายที่ดีจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า ตัวอย่าง: 5. การพัฒนาความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการ (Product Knowledge) การเข้าใจสินค้าและบริการอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับพนักงานขายในยุคนี้ เพื่อให้สามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ การอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติสินค้าและบริการจะช่วยให้พนักงานขายสามารถนำเสนอคุณค่าให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่าง: 6. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ (Data Analysis) พนักงานขายในยุคปัจจุบันต้องมีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ข้อมูลการขาย, พฤติกรรมของลูกค้า, หรือข้อมูลตลาด เพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจในการเสนอขายหรือเลือกกลยุทธ์การตลาดที่ดีที่สุด โดยการใช้ข้อมูลเชิงลึกสามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่าง:… Read more: บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน
  • เคล็ดลับในการสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ
    เคล็ดลับในการสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความสนใจของลูกค้าและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการ โดยข้อเสนอที่ดีและน่าสนใจจะสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขากำลังได้รับคุณค่าและประโยชน์มากกว่าการใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าหรือบริการนั้นๆ เคล็ดลับในการสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ มีดังนี้ 1. ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ก่อนที่คุณจะสามารถสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจได้ คุณต้องเข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้าก่อน โดยการวิจัยและศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า, การสอบถามความคิดเห็น, หรือการติดตามแนวโน้มของตลาดที่เกี่ยวข้อง วิธีการ: ประโยชน์: การรู้ความต้องการของลูกค้าเป็นพื้นฐานสำคัญในการออกแบบข้อเสนอที่จะตรงกับความคาดหวังและปัญหาของลูกค้า 2. นำเสนอข้อเสนอที่เน้นคุณค่า (Value Proposition) ข้อเสนอที่น่าสนใจควรมุ่งเน้นที่ “คุณค่า” ที่ลูกค้าจะได้รับมากกว่าการเน้นที่แค่ราคา เพียงแค่เสนอส่วนลดอาจไม่เพียงพอ แต่ควรมองถึงสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ วิธีการ: ตัวอย่าง: 3. ใช้การสร้างข้อเสนอที่เป็นแพ็กเกจ (Bundling) การนำสินค้าหรือบริการหลายๆ ตัวมารวมกันเป็นแพ็กเกจเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ากว่า โดยเฉพาะเมื่อเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความสัมพันธ์กัน วิธีการ: ประโยชน์: การจัดเป็นแพ็กเกจช่วยเพิ่มมูลค่าของข้อเสนอและทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป 4. จำกัดเวลาในการเสนอ (Time-Sensitive Offers) การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนให้กับข้อเสนอจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าได้ดีขึ้น ลูกค้าจะรู้สึกว่า “หากไม่ตัดสินใจวันนี้ อาจจะพลาดโอกาสดีๆ นี้ไป” วิธีการ: ประโยชน์: สร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการโดยเร็ว 5. ใช้ข้อเสนอที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalized Offers) การปรับข้อเสนอให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนจะทำให้ข้อเสนอของคุณดูน่าสนใจมากขึ้น ลูกค้าจะรู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษ วิธีการ: ประโยชน์: ข้อเสนอที่ปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าจะทำให้พวกเขารู้สึกพิเศษและมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น 6. การใช้รีวิวหรือคำรับรองจากลูกค้าคนอื่น การแสดงให้เห็นถึง ความพึงพอใจของลูกค้าคนอื่น สามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าใหม่และกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น วิธีการ: ประโยชน์: การใช้คำรับรองและรีวิวจากลูกค้าช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดความกังวลของลูกค้าใหม่ 7. เสนอประสบการณ์ที่พิเศษ ลูกค้าจะมีความพึงพอใจและอยากกลับมาซื้อซ้ำหากพวกเขาได้รับ ประสบการณ์ที่ดีและพิเศษ จากการใช้สินค้า หรือบริการ วิธีการ: ประโยชน์: ประสบการณ์ที่ดีและพิเศษจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความภักดีและมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำ 8. ทำให้ข้อเสนอมีความชัดเจน การทำให้ข้อเสนอของคุณ ชัดเจนและตรงไปตรงมา เป็นสิ่งสำคัญ ลูกค้าควรเข้าใจว่าอะไรที่พวกเขาจะได้รับจากข้อเสนอของคุณ วิธีการ:… Read more: เคล็ดลับในการสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ
  • หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอล
    หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอล มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากต้องทำงานร่วมกับเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิตอลที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขายได้อย่างมาก ในยุคที่การสื่อสารและการทำธุรกรรมออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ การขายไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแค่การพบปะลูกค้าด้วยตัวเอง หรือ ผ่านการโทรศัพท์อีกต่อไป ผู้จัดการฝ่ายขายในยุคนี้ต้องรับผิดชอบในการบริหารทีมขายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้เกิดการสร้างรายได้จากช่องทางดิจิตอลต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ 1. การวางกลยุทธ์ขาย 2. การบริหารทีมขาย 3. การใช้เทคโนโลยี 4. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า 5. การตลาดดิจิทัล 6. การติดตามผลและปรับปรุง 7. การสร้างนวัตกรรม 8. การทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นๆ 9. การเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การวางกลยุทธ์การขายและการกำหนดเป้าหมาย เป็นหน้าที่หลักของผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิตอล โดยพวกเขาต้องใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อวิเคราะห์ และคาดการณ์แนวโน้มของตลาด และพฤติกรรมของลูกค้า การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) หรือ เครื่องมือ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อจัดการ และติดตามการทำงานของทีมเป็นสิ่งสำคัญ ผู้จัดการต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และสามารถตรวจสอบความคืบหน้าของทีมขายได้แบบเรียลไทม์จากระบบดิจิตอลต่างๆ เช่น การใช้แผงควบคุมการขาย (sales dashboard) ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการขาย เช่น จำนวนโอกาสการขาย, อัตราการแปลงลูกค้า, หรือการติดตามผลการตลาดในแต่ละช่องทาง นอกจากนี้ การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของทีมขาย ยังเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่สำคัญ ผู้จัดการฝ่ายขายต้องมีบทบาทในการสอนให้ทีมขายเข้าใจการใช้เครื่องมือดิจิตอลอย่างเต็มที่ เช่น การใช้โซเชียลมีเดียในการเข้าถึงลูกค้า, การใช้เครื่องมืออีเมลมาร์เก็ตติ้งเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า, หรือ การใช้ซอฟต์แวร์ในการติดตามลูกค้า หรือการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดอบรมให้ทีมขายสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการขายในทุกๆ ด้าน การ บริหารการทำงานของทีมขาย เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่ผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิตอลต้องให้ความสำคัญ โดยพวกเขาต้องสร้างความร่วมมือที่ดีภายในทีม และจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้จัดการจะต้องมีการติดตามผลการทำงานของทีมอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้รับจากการวิเคราะห์ตลาด หรือ ข้อมูลการขาย การใช้เครื่องมือดิจิตอลสามารถช่วยให้ผู้จัดการเห็นภาพรวมของการทำงานของทีมได้ดีขึ้น และสามารถให้คำแนะนำ หรือกระตุ้นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้อง… Read more: หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอล
  • การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานขาย
    การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานขาย เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างทีมขายที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิตอล การฝึกอบรมพนักงานขายไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มทักษะในการปิดการขาย แต่ยังเป็นการพัฒนาความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การปรับตัวตามเทคโนโลยี และการใช้เครื่องมือดิจิตอลในการขาย ทำไมต้องมี การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานขาย เนื้อหาการฝึกอบรมที่สำคัญ รูปแบบการฝึกอบรม วิธีการประเมินผลการฝึกอบรม กระบวนการฝึกอบรมพนักงานขายเริ่มต้นด้วยการ กำหนดทักษะที่ต้องการพัฒนา ซึ่งอาจรวมถึงทักษะทางด้านการสื่อสาร การใช้เครื่องมือดิจิตอล การบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูล หรือ การปรับตัวตามสถานการณ์ต่างๆ โดยการพัฒนาเหล่านี้จะช่วยให้พนักงานขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การฝึกอบรมในการใช้ CRM (Customer Relationship Management) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า และการติดตามการขายได้อย่างมีระบบ นอกจากนี้ การฝึกอบรมยังต้องมีการ พัฒนาทักษะการสื่อสาร ทั้งทางตรง และทางอ้อม พนักงานขายต้องสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักการตั้งคำถามที่เหมาะสม และมีทักษะในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการเรียนรู้การรับมือกับการปฏิเสธ หรือการตอบสนองต่อข้อสงสัยต่างๆ ของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมในด้านนี้สามารถทำได้ทั้งแบบ การจำลองสถานการณ์ (Role-Playing) หรือ การฝึกฝนโดยการสังเกตจากการทำงานจริง การใช้ เทคโนโลยีดิจิตอล ในการขายก็เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ต้องการการฝึกฝน พนักงานขายในยุคปัจจุบันต้องสามารถใช้เครื่องมือดิจิตอลต่างๆ เช่น การใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมทสินค้า หรือ การใช้ เครื่องมือการตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) การฝึกอบรมในด้านนี้จะช่วยให้พนักงานขายสามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทางและมีประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากการฝึกอบรมทางด้านเทคนิค และการขายแล้ว การ พัฒนาทักษะด้านการบริการลูกค้า ก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าจะช่วยให้เกิดความภักดี และความเชื่อมั่นในแบรนด์ การฝึกอบรมพนักงานขายเกี่ยวกับการให้บริการลูกค้าด้วยใจ การแก้ปัญหา และตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจ และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า อีกหนึ่งทักษะที่สำคัญในปัจจุบันคือ การวิเคราะห์ข้อมูล เนื่องจากข้อมูลจากลูกค้า และ การขายเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับการปรับกลยุทธ์การขาย พนักงานขายที่มีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลจะสามารถระบุโอกาสในการขาย หรือ การพัฒนาได้ดีขึ้น การฝึกอบรมในการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Sales… Read more: การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานขาย
  • การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการขาย
    การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการขาย เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและการปิดการขายที่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งการสื่อสารที่ดีจะช่วยให้พนักงานขายสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในกระบวนการขายสามารถแบ่งออกเป็นหลายๆ ด้าน เช่น การฟังอย่างตั้งใจ การตั้งคำถามที่เหมาะสม การใช้ภาษาที่ชัดเจน รวมไปถึงการตอบสนองที่เหมาะสมต่อข้อสงสัยหรือข้อคัดค้านจากลูกค้า 1. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) การฟังอย่างตั้งใจคือการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกค้าพูด และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยไม่เพียงแค่รับฟังคำพูด แต่ยังจับประเด็นหรือความรู้สึกที่ลูกค้าพยายามสื่อออกมาอย่างเต็มที่ การฟังอย่างตั้งใจจะทำให้พนักงานขายสามารถเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เช่น อาจจะไม่ใช่แค่ความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ แต่ยังอาจเกี่ยวข้องกับความสะดวกสบายในการใช้งาน หรือการบริการหลังการขายที่ดี การฟังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจ ตัวอย่าง: เมื่อพนักงานขายพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการซื้อโทรศัพท์มือถือ ลูกค้าอาจจะพูดถึงความสำคัญของกล้องถ่ายภาพที่ดี พนักงานขายที่ฟังอย่างตั้งใจจะสามารถนำเสนอมือถือที่มีคุณสมบัติกล้องที่ลูกค้าต้องการแทนที่จะเน้นไปที่ฟีเจอร์อื่นๆ ที่ลูกค้าอาจไม่สนใจ 2. การตั้งคำถามที่เหมาะสม (Effective Questioning) การตั้งคำถามที่ดีจะช่วยให้พนักงานขายสามารถเปิดโอกาสให้ลูกค้าพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการและปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ การถามคำถามเปิด (Open-ended Questions) จะช่วยให้ลูกค้าสามารถให้ข้อมูลได้มากขึ้น เช่น “ท่านต้องการคุณสมบัติอะไรจากสินค้าของเรา?” หรือ “ปัญหาหลักที่ท่านเจอในการใช้งานคืออะไร?” การถามคำถามที่เหมาะสมจะช่วยให้พนักงานขายสามารถเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำไปสู่การแนะนำสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้ามากที่สุด ตัวอย่าง: หากลูกค้าบอกว่าเขามีปัญหาเรื่องการประหยัดพลังงาน พนักงานขายสามารถถามว่า “ท่านคาดหวังอะไรจากเครื่องใช้ไฟฟ้าในแง่ของการประหยัดพลังงาน?” ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าระบุคุณสมบัติที่สำคัญและทำให้พนักงานสามารถเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้ 3. การใช้ภาษาที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย (Clear and Simple Language) การใช้ภาษาที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออธิบายคุณสมบัติของสินค้า บริการ หรือข้อเสนอพิเศษ การใช้ภาษาที่ซับซ้อนหรือเทคนิคมากเกินไปอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ สิ่งสำคัญคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตัวอย่าง: หากพนักงานขายกำลังอธิบายฟีเจอร์ของโทรทัศน์ใหม่ ควรใช้คำอธิบายง่ายๆ เช่น “นี่คือโทรทัศน์ที่มีหน้าจอ 4K ซึ่งหมายความว่าแสดงภาพที่คมชัดและละเอียดมากกว่าโทรทัศน์ทั่วไปถึง 4 เท่า” แทนที่จะพูดถึงเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเกินไป 4. การตอบสนองต่อข้อคัดค้าน (Handling Objections) การตอบสนองต่อข้อคัดค้านของลูกค้าเป็นทักษะที่สำคัญในการสื่อสารการขาย พนักงานขายต้องไม่มองข้อคัดค้านจากลูกค้าเป็นอุปสรรค แต่ควรมองเป็นโอกาสที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือชี้แจงข้อดีของสินค้าและบริการ การตอบสนองอย่างมืออาชีพจะช่วยเปลี่ยนข้อคัดค้านให้เป็นการสนับสนุนการขายได้… Read more: การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการขาย
  • Sales Manager ยุคใหม่ ต้องทำอะไรได้บ้าง
    Sales Manager ยุคใหม่ หรือผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิตอลจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในโลกธุรกิจ ซึ่งไม่เพียงแค่การบริหารทีมขาย แต่ยังต้องมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการกระบวนการขายที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้คือลักษณะของสิ่งที่ผู้จัดการฝ่ายขายในยุคใหม่ต้องทำได้ 1. การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิตอล ในยุคดิจิตอล การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิตอลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผู้จัดการฝ่ายขายยุคใหม่ต้องสามารถใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการขาย เช่น CRM (Customer Relationship Management) ระบบการจัดการลูกค้า, Sales Automation หรือ AI tools เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การทำให้ทีมขายสามารถทำงานได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้นโดยการใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ตัวอย่าง: ใช้ CRM ในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมการซื้อและทำการตลาดที่ตรงเป้าหมาย 2. การพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญ ผู้จัดการฝ่ายขายต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการขาย เช่น ยอดขาย, พฤติกรรมของลูกค้า, แนวโน้มตลาด, หรือ ข้อมูลจากสื่อโซเชียล เพื่อนำมาปรับปรุงกลยุทธ์การขายและทำให้การขายมีความแม่นยำและตรงเป้าหมายมากขึ้น ตัวอย่าง: การวิเคราะห์ข้อมูลจากการทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์เพื่อดูว่าโฆษณาใดมีผลตอบรับดี หรือกลุ่มลูกค้าใดมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าต่อไป 3. การสร้างและบริหารทีมขายที่มีประสิทธิภาพ ผู้จัดการฝ่ายขายต้องมีทักษะในการสร้างและบริหารทีมขายที่มีประสิทธิภาพ โดยต้องรู้วิธีการสรรหาพนักงานขายที่มีศักยภาพ ฝึกอบรม และพัฒนาทักษะให้กับทีมขายให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในตลาดและเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการสร้างแรงจูงใจและวัฒนธรรมการทำงานที่ดีในทีม ตัวอย่าง: จัดการประชุมหรือการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการขาย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการขาย, การเข้าใจลูกค้าในยุคดิจิตอล, หรือการใช้เทคนิคการปิดการขายที่มีประสิทธิภาพ 4. การวางกลยุทธ์การขายที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ การวางกลยุทธ์การขายต้องสามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ผู้จัดการฝ่ายขายในยุคนี้ต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ตัวอย่าง: ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ผู้จัดการฝ่ายขายต้องมีความสามารถในการเปลี่ยนกลยุทธ์จากการขายแบบปกติที่พบปะลูกค้าเป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์หรือระบบการขายระยะไกล 5. การส่งเสริมการขายผ่านช่องทางดิจิตอล เนื่องจากช่องทางดิจิตอลมีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบัน ผู้จัดการฝ่ายขายต้องเข้าใจและสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, อีเมล์มาร์เก็ตติ้ง, หรือ การตลาดผ่าน Influencer โดยมุ่งเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางเหล่านี้ ตัวอย่าง: ใช้… Read more: Sales Manager ยุคใหม่ ต้องทำอะไรได้บ้าง
  • วิธีการจัดการเวลาและความเครียดในฝ่ายขาย
    วิธีการจัดการเวลาและความเครียดในฝ่ายขาย เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับพนักงานขายและผู้จัดการฝ่ายขาย เนื่องจากการทำงานในแวดวงนี้มักจะมีเป้าหมายที่ท้าทาย ความกดดันในการบรรลุยอดขาย และการต้องรับมือกับลูกค้าที่หลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดการการขายหลายช่องทาง ซึ่งหากไม่สามารถจัดการได้ดีจะทำให้เกิดความเครียดและเสียประสิทธิภาพในการทำงานได้ วิธีการจัดการเวลาและความเครียดในฝ่ายขาย มีดังนี้ วิธีการจัดการเวลา วิธีการจัดการความเครียด เทคนิคเพิ่มเติมสำหรับพนักงานขาย การจัดการเวลาและความเครียดในฝ่ายขายไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการใช้เครื่องมือดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังต้องมีทักษะในการสื่อสาร, การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน, การให้เวลากับการพักผ่อน, การฝึกฝนการจัดการความเครียด รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงานและลูกค้า การฝึกทักษะเหล่านี้จะช่วยให้พนักงานขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้
  • บทบาทของเทคโนโลยีในฝ่ายขายในยุคดิจิทัล
    บทบาทของเทคโนโลยีในฝ่ายขาย ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา การทำธุรกิจก็เช่นกัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขายแบบเดิมๆ ให้ทันสมัยมากขึ้น ทำให้การขายสินค้าและบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น บทบาทของเทคโนโลยีในฝ่ายขาย มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การตลาด และการขายถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และเครื่องมือดิจิทัล เทคโนโลยีช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน, เพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า, และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เทคโนโลยีในฝ่ายขายในยุคดิจิทัลมีบทบาทหลักๆ ดังนี้ 1. การใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ระบบ CRM เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการ และติดตามข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้ทีมขายสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ เช่น ข้อมูลการติดต่อ, ประวัติการซื้อ, ความสนใจ และ พฤติกรรมของลูกค้า 2. การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ (Big Data & Analytics) การใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, และ การซื้อขายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และคาดการณ์ความต้องการในอนาคต ช่วยให้ทีมขายสามารถมุ่งเป้าไปยังลูกค้าที่มีแนวโน้มในการซื้อสูง และปรับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ 3. การทำการตลาดและการขายอัตโนมัติ (Sales and Marketing Automation) การทำการตลาด และการขายอัตโนมัติเป็นการใช้เทคโนโลยีในการทำงานที่ซ้ำซ้อน และต้องการการติดตามหลายขั้นตอน เช่น การส่งอีเมลโฆษณา, การติดตามลูกค้า, หรือการโปรโมตผลิตภัณฑ์แบบอัตโนมัติ 4. การใช้โซเชียลมีเดียในการขาย (Social Selling) การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าใหม่ และลูกค้าเก่า การทำ Social Selling ช่วยให้พนักงานขายสามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางที่พวกเขาใช้งานอยู่เป็นประจำ เช่น LinkedIn, Facebook หรือ Instagram 5. การประชุมออนไลน์และการนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้เครื่องมือการประชุมออนไลน์… Read more: บทบาทของเทคโนโลยีในฝ่ายขายในยุคดิจิทัล
  • การวิเคราะห์ข้อมูลขายเพื่อการตัดสินใจที่ดีกว่า
    การวิเคราะห์ข้อมูลขายเพื่อการตัดสินใจที่ดีกว่า เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า ตรวจสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การขาย และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่แม่นยำยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลขายเพื่อการตัดสินใจที่ดีกว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย การเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ระบบ CRM, ข้อมูลการขายที่ผ่านมา, ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น โซเชียลมีเดีย ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและแนวโน้มการซื้อ ในการวิเคราะห์ข้อมูลขาย พนักงานขายและผู้จัดการสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ เช่น การใช้ Data Analytics หรือ Business Intelligence (BI) เพื่อแยกแยะข้อมูลที่สำคัญและได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้สามารถคาดการณ์การซื้อของลูกค้า, การตั้งราคาที่เหมาะสม, หรือแม้แต่การกำหนดเป้าหมายในการขายที่เหมาะสม โดยการพิจารณาจากข้อมูลเชิงสถิติและแนวโน้มที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น การวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ลูกค้ามักซื้อสินค้าหรือบริการบ่อยที่สุด หรือการหาความสัมพันธ์ระหว่างการซื้อสินค้าหรือบริการกับพฤติกรรมของลูกค้า นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลยังช่วยในการระบุ โอกาสในการขาย และ ลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสูง ซึ่งช่วยให้พนักงานขายสามารถมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าที่มีศักยภาพสูงสุด การประเมินผลการขายในแต่ละขั้นตอน เช่น การติดตามโอกาสในการปิดการขาย (Sales Funnel) ก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การตัดสินใจในกระบวนการขายมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ Dashboards หรือ Reports เพื่อแสดงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับยอดขาย, ความคืบหน้าของการขาย, และประสิทธิภาพของทีมขาย ทำให้ผู้จัดการฝ่ายขายสามารถตัดสินใจได้ทันท่วงทีเกี่ยวกับการปรับกลยุทธ์หรือการเพิ่มเป้าหมายในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลจึงไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงกระบวนการขาย แต่ยังช่วยในการเพิ่มผลกำไรและพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ทำไม การวิเคราะห์ข้อมูลขายเพื่อการตัดสินใจที่ดีกว่า ข้อมูลอะไรบ้างที่ควรนำมาวิเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขาย ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลขาย ตัวอย่างการนำข้อมูลไปใช้ สรุป การวิเคราะห์ข้อมูลขายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน การนำข้อมูลมาวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น ปรับปรุงกลยุทธ์การขาย และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินผล KPI สำหรับฝ่ายขาย EsteeMATE มี Features ที่จะช่วยให้คุณประเมินผล KPI ให้กับพนักงานฝ่ายขายได้ ศึกษาข้อมูลพิ่มเติมได้ที่นี่
  • การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า กุญแจสู่ความสำเร็จในฝ่ายขาย
    การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นหัวใจสำคัญของการขายที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การขายสินค้าหรือบริการ แต่เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระยะยาวที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและแนะนำให้คนอื่นรู้จัก ทำไมการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าจึงสำคัญ เทคนิคใน การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ตัวอย่างการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากทำไม่ถูกวิธี อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจได้ ดังนั้นจึงควรระวังและหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้ 1. การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน 2. การให้สัญญาเกินจริง 3. การไม่ใส่ใจความคิดเห็นของลูกค้า 4. การไม่แก้ไขปัญหาให้ลูกค้า 5. การใช้เทคนิคการขายที่ก้าวร้าวเกินไป 6. การไม่สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว 7. การไม่ปรับปรุงตัวตามความคิดเห็นของลูกค้า ตัวอย่าง การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ตัวอย่าง 1: การให้บริการลูกค้าหลังการขายบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีการบริการหลังการขายที่ดี เช่น การจัดส่ง และติดตั้งสินค้าในบ้านลูกค้าฟรี พร้อมมีบริการซ่อมบำรุงหากเครื่องเสียภายในระยะเวลาที่กำหนด ลูกค้าได้รับการติดต่อจากพนักงานเพื่อสอบถามความพึงพอใจหลังการซื้อหรือหลังจากการติดตั้ง ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแล และสนใจจริงจังจากแบรนด์ ตัวอย่าง 2: การให้ส่วนลดหรือโปรโมชั่นพิเศษร้านค้าปลีกออนไลน์ขายเสื้อผ้าแฟชั่นให้แก่ลูกค้าประจำโดยการมอบคูปองส่วนลดหรือโปรโมชั่นพิเศษในวันเกิดของลูกค้า ลูกค้าที่เป็นสมาชิกได้รับข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลด 20% หรือส่งฟรี ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกพิเศษและขอบคุณลูกค้า ตัวอย่าง 3: การสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำบริษัทท่องเที่ยวจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้าที่มาซื้อแพ็คเกจทัวร์ เช่น การเชิญลูกค้าไปเข้าร่วมกิจกรรมรีวิวการเดินทางหรือลุ้นรางวัลใหญ่ภายในทัวร์ ลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้จะได้รับประสบการณ์ที่ดีและไม่เหมือนใคร ซึ่งช่วยให้ลูกค้ามีความรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ ผลลัพธ์:ลูกค้าไม่เพียงแต่จะกลับมาซื้อแพ็คเกจทัวร์อีกในอนาคต แต่ยังเป็นการโปรโมตแบรนด์ในวงกว้างผ่านการบอกต่อหรือโพสต์ภาพการเดินทางบนโซเชียลมีเดีย ตัวอย่าง 4: การใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับลูกค้าแบรนด์เครื่องสำอางมีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยการใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Instagram และ Facebook โดยการโพสต์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงการตอบคำถามและการสื่อสารกับลูกค้าผ่านคอมเมนต์หรือข้อความส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมการถาม-ตอบ หรือการร่วมสนุกผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ผลลัพธ์:ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์และมีความสนใจในผลิตภัณฑ์มากขึ้น เพราะพวกเขารู้สึกว่าแบรนด์นั้นเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย ตัวอย่าง 5: การขอความคิดเห็นและการรับฟังลูกค้าบริษัทซอฟต์แวร์รับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าเกี่ยวกับฟีเจอร์หรือการใช้งานที่ปรับปรุงแล้ว เช่น การจัดส่งแบบสอบถามความคิดเห็นหลังการใช้งาน หรือการเปิดช่องทางให้ลูกค้าสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการผ่านฟอรัมออนไลน์ โดยบริษัทจะนำข้อเสนอแนะมาใช้ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์:ลูกค้ารู้สึกว่าความคิดเห็นของพวกเขามีค่าและได้รับการนำมาปรับใช้ ซึ่งสร้างความพึงพอใจและกระตุ้นให้ลูกค้าอยู่กับแบรนด์ในระยะยาว ข้อดีหลายประการที่สามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ดังนี้… Read more: การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า กุญแจสู่ความสำเร็จในฝ่ายขาย
  • เทคนิคการปิดการขายที่ได้ผลที่สุด
    การปิดการขาย (Closing the Sale) หมายถึง ขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการขายที่ผู้ขายทำการสรุป และชักชวนให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการ โดยการปิดการขายมีเป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ และยอมรับข้อเสนอของผู้ขาย ขั้นตอน เทคนิคการปิดการขาย 1. การค้นหาลูกค้า (Prospecting) 2. การติดต่อ (Approaching) 3. การนำเสนอ (Presenting) 4. การจัดการข้อโต้แย้ง (Handling Objections) 5. การปิดการขาย (Closing the Sale) 6. การติดตามผล (Follow-Up) เทคนิคการปิดการขาย ที่ได้ผล 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า 2. ใช้เทคนิค “ความรู้สึกเร่งด่วน” 3. ถามคำถามที่กระตุ้นให้ลูกค้าคิด 4. เสนอทางเลือกที่ชัดเจน 5. ยืนยันข้อดีและประโยชน์ 6. ใช้หลักการ “ความกลัวจากการพลาด” (FOMO) 7. ใช้การอ้างอิง และคำแนะนำ 8. เสนอการรับประกันหรือการทดลองใช้ 9. เตรียมพร้อมรับข้อโต้แย้ง 10. จบด้วยการเรียกร้องให้ดำเนินการ (Call to Action) ตัวอย่างของเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ได้มีดังนี้: 1. The Assumptive Close (การปิดการขายโดยสมมติว่าเป็นเรื่องที่ตกลงกันแล้ว) เทคนิคนี้ใช้สมมติฐานว่าลูกค้าตัดสินใจซื้อแล้ว และ พยายามผลักดันให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนการตัดสินใจนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน ตัวอย่างเช่น พนักงานขายอาจถามลูกค้าในระหว่างการสนทนา: 2. The Urgency Close (การปิดการขายโดยการสร้างความเร่งด่วน) การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนให้กับลูกค้า เช่น การแจ้งว่ามีข้อเสนอพิเศษในระยะเวลาจำกัดหรือมีสินค้าจำนวนจำกัด… Read more: เทคนิคการปิดการขายที่ได้ผลที่สุด
  • วิธีใช้ monday.com เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของทีมขาย
    วิธีใช้ monday.com เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของทีมขาย วันนี้เราจะมาสอนการใช้งาน monday.com เพื่อปรับปรุงให้กระบวนการทำงานของทีมขาย มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสกันมากขึ้น ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย https://try.monday.com/2y4315t1wmtr วิธีใช้ monday.com เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ทำได้หลายวิธีที่ช่วยให้ทีมสามารถติดตามงานได้อย่างชัดเจนและลดความสับสนในกระบวนการขาย ฟีเจอร์ Boards สามารถสร้างกระดานที่แสดงภาพรวมของโปรเจคหรือการขายแต่ละรายการได้ เช่น การติดตามสถานะการขาย, รายการลูกค้าที่ติดต่อ, และ ยอดขายที่คาดว่าจะได้รับ กระดานเหล่านี้สามารถแบ่งเป็นคอลัมน์ต่างๆ เพื่อแสดงข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อลูกค้า, สถานะการขาย, วันที่ติดต่อล่าสุด และ การดำเนินการถัดไป ฟีเจอร์ Automations ช่วยให้การอัปเดตสถานะงาน และ การแจ้งเตือนต่างๆ เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อมีการอัปเดตข้อมูลในกระดานหรือการเตือนให้ติดตามลูกค้ารายต่อไป การใช้ฟีเจอร์ Updates ในแต่ละการ์ดของกระดานจะช่วยให้สมาชิกทีมขายสามารถแสดงความคิดเห็นหรืออัปเดตข้อมูลได้โดยตรงในระบบเดียวกัน ทำให้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับลูกค้าหรือโอกาสการขายนั้นเป็นแบบเรียลไทม์และสามารถเข้าถึงได้จากทุกคนในทีม ฟีเจอร์ Permissions ช่วยให้ผู้จัดการทีมสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลและทำให้แน่ใจว่าข้อมูลที่สำคัญนั้นสามารถแชร์ได้ตามที่ทีมต้องการ โดยสามารถควบคุมได้ว่าใครสามารถเห็นข้อมูลอะไรได้บ้าง นอกจากนี้ monday.com ยังรองรับ Dashboards ที่ช่วยให้สามารถดูภาพรวมของยอดขายทั้งหมดในทีมได้ในที่เดียว พร้อมทั้งกราฟและรายงานที่ช่วยแสดงผลลัพธ์ในแต่ละช่วงเวลา การใช้ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ทีมขายสามารถประเมินผลการทำงานในเวลาจริงและตัดสินใจได้ดีขึ้น 2. กำหนดขั้นตอนการขาย 3. ใช้ป้าย (Tags) 4. สื่อสารภายในทีม 5. สร้างรายงาน: ตัวอย่าง วิธีใช้ monday.com เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของทีมขาย ทีมขายซอฟต์แวร์ สร้างกระดานเพื่อติดตามลูกค้าเป้าหมาย, สถานะของการนำเสนอ, และการปิดการขาย สามารถใช้ป้ายเพื่อจำแนกลูกค้าตามขนาดของบริษัท หรืออุตสาหกรรม ทีมขายอสังหาริมทรัพย์ สร้างกระดานเพื่อติดตามลูกค้าที่สนใจซื้อบ้าน, สถานะของการนัดหมายชมบ้าน, และการทำสัญญาซื้อขาย สามารถใช้ป้ายเพื่อจำแนกบ้านตามทำเลที่ตั้ง หรือราคา… Read more: วิธีใช้ monday.com เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของทีมขาย
  • OKR กับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม
    OKR กับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม เป็นแนวทางที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนองค์กรและทีมงานให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกันในการให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้า ผ่านการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและการวัดผลที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของลูกค้า ทำไม OKR จึงสำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม OKR กับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม จะช่วยให้ทีมงานเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องทำในแต่ละช่วงเวลาเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า โดยการตั้ง Objective ที่มุ่งเน้นในประสบการณ์ของลูกค้าและกำหนด Key Results ที่สามารถวัดผลได้จะช่วยให้การพัฒนาและปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าเป็นไปในทิศทางที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ การตั้ง OKR เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแก่ลูกค้าจะครอบคลุมตั้งแต่ การบริการลูกค้า ไปจนถึง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ การให้บริการหลังการขาย รวมถึงการ ปรับปรุงระบบ และ เพิ่มความสะดวกสบาย ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ตัวอย่าง OKR สำหรับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม วัตถุประสงค์ ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าต่อการบริการหลังการขายให้สูงขึ้นภายในไตรมาสนี้ วัตถุประสงค์ เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าบนช่องทางโซเชียลมีเดีย ขั้นตอนการสร้าง OKR สำหรับประสบการณ์ลูกค้า ขั้นตอนในการใช้ OKR สำหรับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม 1. การตั้ง Objective ที่มุ่งเน้นประสบการณ์ลูกค้า Objective ควรจะเน้นไปที่การพัฒนาประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์, การเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน หรือการให้บริการลูกค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง Objective: 2. การกำหนด Key Results ที่สามารถวัดผลได้ เมื่อตั้ง Objective ที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการกำหนด Key Results ที่จะช่วยให้ทีมสามารถวัดผลและติดตามความคืบหน้าในการสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้าได้ ตัวอย่าง Key Results ที่สามารถวัดผลได้: 3. การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการดำเนินการ การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่สามารถสนับสนุนการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า เช่น CRM (Customer Relationship Management) ที่สามารถจัดการข้อมูลลูกค้า, การใช้ AI ในการให้บริการลูกค้าอัตโนมัติ,… Read more: OKR กับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม
  • ใช้ monday.com สร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในทีมขาย
    ใช้ monday.com สร้างการสื่อสาร เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกัน และลดความคลาดเคลื่อนในการทำงาน เมื่อทุกคนในทีมสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และความเห็นได้อย่างชัดเจน และตรงประเด็น จะช่วยให้การทำงานมีความราบรื่นมากขึ้น ทั้งยังทำให้เป้าหมายของทีมชัดเจน สมาชิกทีมเข้าใจบทบาทของตนเอง และรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้ การใช้ monday.com เพื่อสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในทีมขายสามารถช่วยให้การจัดการงาน และการประสานงานภายในทีมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานจากระยะไกลหรือการทำงานเป็นทีมแบบกระจายตัวมีความสำคัญมากขึ้น monday.com เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยในหลายด้านของการขาย เช่น การติดตามโอกาสในการขาย การจัดการลูกค้า การสื่อสารภายในทีม และการตั้งเป้าหมายในทีมขาย การใช้ monday.com จะช่วยให้ทีมขายสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น และลดความผิดพลาดจากการขาดการสื่อสารที่ดี ตัวอย่างการใช้ monday.com ใช้ monday.com สร้างการสื่อสาร มีดังนี้: 1. การสร้างกระดานงาน (Boards): ทีมขายสามารถสร้างกระดานงานต่างๆ เพื่อจัดการกับโอกาสในการขาย (Sales Pipeline) โดยสามารถแยกงานออกเป็นขั้นตอนต่างๆ เช่น โอกาสที่อยู่ในขั้นตอนแรก (Lead Qualification), ขั้นตอนการเสนอขาย (Proposal Sent), และขั้นตอนการปิดการขาย (Closed/Won) การแบ่งแยกขั้นตอนการขายในแต่ละกระดานจะช่วยให้ทีมขายสามารถติดตามสถานะของแต่ละโอกาสได้อย่างชัดเจน และ สามารถประสานงานได้ดีขึ้น หากมีการอัปเดตในแต่ละขั้นตอน ทุกคนในทีมจะได้รับการแจ้งเตือนทันทีผ่าน updates ที่เกี่ยวข้อง 2. การใช้ฟังก์ชั่นการสื่อสาร (Updates): การใช้ updates ใน monday.com ช่วยให้สมาชิกในทีมขายสามารถแสดงความคิดเห็น, อัปเดตสถานะงาน หรือแจ้งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละรายได้ทันทีในกระดานเดียวกัน การสื่อสารนี้จะช่วยลดการส่งอีเมล และการสื่อสารภายนอกทีม ซึ่งสามารถทำให้เกิดความสับสน และการพลาดข้อมูลสำคัญได้ 3. การตั้งค่าและการมอบหมายงาน (Task Assignment): เมื่อมีกิจกรรมหรือภารกิจใดที่ต้องการให้สมาชิกในทีมขายทำ ทีมสามารถมอบหมายงานหรือกิจกรรมให้กับสมาชิกคนที่รับผิดชอบได้อย่างชัดเจน เช่น การติดตามลูกค้า… Read more: ใช้ monday.com สร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในทีมขาย
  • OKR และเทคโนโลยี AI สร้างอนาคตของการขาย
    OKR และเทคโนโลยี AI สร้างอนาคตของการขาย ซึ่งเป็นกรอบการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังปฏิวัติวงการขายให้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำไม OKR และ AI ถึงเข้ากันได้ดี ตัวอย่างการนำ OKR และ AI มาประยุกต์ใช้ในวงการขาย อนาคตของการขายที่ขับเคลื่อนด้วย OKR และ AI OKR และเทคโนโลยี AI สร้างอนาคตของการขาย ในอนาคต เราจะเห็นการนำ OKR และ AI มาประยุกต์ใช้ในวงการขายมากขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น ตัวอย่าง สมมติว่าบริษัทขายสินค้าแฟชั่นต้องการเพิ่มยอดขายสินค้าใหม่ ภายใน 1 ปี ผลลัพธ์ที่คาดหวัง 1. การใช้ AI ในการกำหนด OKR ที่มีประสิทธิภาพ AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยในการตั้ง Objective และ Key Results ที่เป็นไปได้จริงและเหมาะสมกับทีมขาย การใช้ AI ในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางธุรกิจจากข้อมูลที่มีสามารถช่วยให้ทีมขายเข้าใจสิ่งที่ต้องทำได้ดีขึ้น รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมของลูกค้า ตัวอย่าง: Key Results: 2. การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม OKR การใช้เทคโนโลยี AI ช่วยในการ ติดตามความคืบหน้า ของ OKR โดยอัตโนมัติและเป็นแบบเรียลไทม์ AI สามารถประมวลผลข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น การขาย, การตลาด, CRM, และช่องทางดิจิทัลอื่นๆ เพื่อให้ผู้จัดการฝ่ายขายเห็นภาพรวมของการทำงานของทีมและสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันที ตัวอย่าง:… Read more: OKR และเทคโนโลยี AI สร้างอนาคตของการขาย
  • การจัดการงานขายในทีมแบบ Remote ด้วย monday.com
    การจัดการงานขายในทีมแบบ Remote การใช้เครื่องมือเพื่อบริหารทีมขายแบบรีโมทมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพราะช่วยให้การสื่อสารและการทำงานระหว่างสมาชิกในทีมเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ทุกคนจะอยู่ในสถานที่ต่างกัน การทำงานแบบรีโมทมักเผชิญกับความท้าทายในด้านการประสานงานและการติดตามผล แต่เครื่องมือที่เหมาะสมสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Photo by Desola Lanre-Ologun on Unsplash การสื่อสารที่ชัดเจนและทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากในทีมที่ไม่สามารถพบปะกันได้อย่างใกล้ชิด เครื่องมือสื่อสารเช่น LINE หรือ Microsoft Teams ช่วยให้การส่งข้อมูล การพูดคุย และการประสานงานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนสามารถตอบสนองได้ทันที อีกทั้งยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความร่วมมือในทีมอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ทำงานในสถานที่เดียวกัน นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือที่ช่วยในการติดตามและวัดผลการทำงาน เช่น monday.com ทำให้ผู้จัดการทีมสามารถดูข้อมูลการขายและความก้าวหน้าได้อย่างละเอียด ช่วยในการวิเคราะห์ผลการทำงานและปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมจากเครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมสามารถตอบสนองต่อตลาดและลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงจุดมากขึ้น อีกด้านหนึ่งของการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพคือการแชร์ข้อมูลและการจัดการงานร่วมกัน เครื่องมือเช่น Google Workspace หรือ Microsoft Sharepoint ช่วยให้ทีมสามารถทำงานบนโปรเจกต์เดียวกันได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานและทำให้การจัดการงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การเข้าถึงข้อมูลและเอกสารสำคัญจากที่ใดก็ได้ ช่วยลดข้อจำกัดในการทำงานระยะไกล ที่สำคัญ การใช้ระบบ CRM ยังช่วยให้ทีมขายสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าและติดตามการสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่มีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ทีมสามารถดูประวัติการติดต่อกับลูกค้าและใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และการบริการได้อย่างต่อเนื่อง การจัดการงานขายในทีมแบบ Remote 1. สร้างบอร์ดสำหรับทีมขาย 2. กำหนดการติดตามงาน 3. สื่อสารในทีม 4. วิเคราะห์ข้อมูล 5. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น ๆ ตัวอย่าง การจัดการโอกาสขาย 1. สร้างบอร์ดใหม่ 2. เพิ่มคอลัมน์ 3. การสร้างการ์ดสำหรับโอกาสขาย 4. การติดตามงาน 5. การวิเคราะห์และติดตามผล 6. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น ๆ Remote มีประโยชน์หลายประการที่ช่วยให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่อยู่ในสถานที่เดียวกัน โดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือออนไลน์เข้ามาช่วยเสริมสร้างการทำงานร่วมกัน การจัดการงานขายแบบ… Read more: การจัดการงานขายในทีมแบบ Remote ด้วย monday.com
  • เอาชนะอุปสรรคในการใช้ OKR กับทีมขาย
    เอาชนะอุปสรรคในการใช้ OKR กับทีมขาย เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความชัดเจนในเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ก็อาจพบกับอุปสรรคบางประการที่ขัดขวางความสำเร็จ ดังนั้นการเข้าใจและแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญ อุปสรรคที่พบบ่อยในการใช้ OKR กับทีมขาย และวิธีการแก้ไข อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ OKR กับทีมขาย และวิธีเอาชนะ 1. การตั้ง Objective ที่ไม่ชัดเจนหรือไม่สอดคล้องกับความสามารถของทีม เอาชนะอุปสรรคในการใช้ OKR กับทีมขาย หนึ่งในอุปสรรคที่พบบ่อยในการใช้ OKR กับทีมขายคือการตั้ง Objective ที่ไม่ชัดเจน หรือ Objective ที่สูงเกินไปจนทำให้ทีมขายรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะบรรลุได้ หรือไม่มีความเกี่ยวข้องกับงานประจำวันของพวกเขา วิธีเอาชนะ: ตัวอย่าง: 2. การขาดความเข้าใจในการใช้ OKR จากทีมขาย อีกอุปสรรคหนึ่งคือทีมขายไม่เข้าใจว่า OKR คืออะไร และจะนำไปใช้ได้อย่างไรในชีวิตประจำวันของพวกเขา หรือการสื่อสารเกี่ยวกับการใช้ OKR อาจจะไม่ชัดเจน วิธีเอาชนะ: ตัวอย่าง:จัดการประชุมหรืออบรมที่เน้นการอธิบายวิธีการใช้ OKR เช่น 3. การไม่เชื่อมโยง OKR กับการวัดผลจริง การตั้ง OKR โดยไม่เชื่อมโยงกับการ วัดผลที่แท้จริง จะทำให้ทีมขายไม่เห็นความสำคัญและไม่ตื่นเต้นกับการบรรลุเป้าหมาย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่คาดหวังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร วิธีเอาชนะ: ตัวอย่าง:การตั้ง Key Results ที่สามารถวัดได้จริง เช่น 4. การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหาร การใช้ OKR อาจจะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่มีการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงหรือผู้จัดการฝ่ายขายในการดำเนินการตาม OKR โดยผู้จัดการหรือหัวหน้าทีมควรให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน วิธีเอาชนะ: ตัวอย่าง: 5. ความล้มเหลวในการติดตามและปรับ OKR ตามสถานการณ์ หากไม่มีการ ติดตามผลและปรับปรุง OKR อย่างสม่ำเสมอ ทีมขายอาจจะรู้สึกว่า… Read more: เอาชนะอุปสรรคในการใช้ OKR กับทีมขาย
  • เคล็ดลับการใช้ monday.com เพื่อจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในงานขาย (CRM)
    เคล็ดลับการใช้ monday.com เพื่อจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในงานขาย (CRM) ในงานขายเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระบวนการขายได้อย่างมีประสิทธิผล เพราะ CRM ช่วยให้คุณสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างละเอียดและครบถ้วน การที่ข้อมูลลูกค้าทั้งหมดถูกเก็บไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นประวัติการติดต่อ การซื้อขายที่ผ่านมา หรือความต้องการของลูกค้า ช่วยให้ทีมขายสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งเป็นประโยชน์ในการให้บริการลูกค้าได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว Photo by Brooke Cagle on Unsplash เคล็ดลับการใช้ monday.com เพื่อจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในงานขาย (CRM) การใช้ CRM ยังช่วยในการติดตามกระบวนการขายอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขั้นตอนการติดต่อครั้งแรกจนถึงการปิดการขาย ระบบสามารถแจ้งเตือนคุณถึงโอกาสสำคัญหรือกิจกรรมที่ต้องดำเนินการ ทำให้คุณไม่พลาดโอกาสที่สำคัญในกระบวนการขาย นอกจากนี้ CRM ยังช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมและข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้า ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การขายและการตลาด ทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งการใช้งานเครื่องมือออนไลน์ ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกันภายในทีมขาย สมาชิกทุกคนในทีมสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าเดียวกันได้ ทำให้การทำงานเป็นทีมเป็นไปอย่างราบรื่นและลดการทำงานซ้ำซ้อน ระบบยังช่วยในการแบ่งปันข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ เกิดขึ้น ทุกคนในทีมจะได้รับการอัปเดตอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าและโอกาสในการขายได้ ทำให้คุณสามารถจัดการเวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ monday.com เพื่อจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในงานขาย (CRM) สามารถช่วยให้คุณบริหารจัดการกระบวนการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือเคล็ดลับในการใช้ monday.com สำหรับ CRM 1. สร้างบอร์ดที่ชัดเจน 2. ใช้คอลัมน์ที่เหมาะสม 3. ตั้งค่าการติดตามและการแจ้งเตือน 4. ใช้ฟังก์ชันการจัดกลุ่ม 5. ใช้การรวมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ 6. วิเคราะห์ข้อมูล 7. ทำงานร่วมกันในทีม 8. ใช้เทมเพลต monday.com เป็นซอฟท์แวร์เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้น ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย ตัวอย่างและวิธีการทำ… Read more: เคล็ดลับการใช้ monday.com เพื่อจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในงานขาย (CRM)
  • OKR กับการสร้างความร่วมมือข้ามทีม บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
    การใช้ OKR (Objectives and Key Results) ในการ สร้างความร่วมมือข้ามทีม (Cross-functional Collaboration) OKR กับการสร้างความร่วมมือข้ามทีม บรรลุเป้าหมายร่วมกัน เป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมต่างๆ ภายในองค์กร โดยการตั้ง Objective และ Key Results ที่เกี่ยวข้องและสามารถวัดผลได้จะช่วยให้ทีมต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจและผลลัพธ์ที่ยั่งยืน OKR กับการสร้างความร่วมมือข้ามทีม บรรลุเป้าหมายร่วมกัน การสร้างความร่วมมือข้ามทีมโดยใช้ OKR เป็นการบูรณาการการทำงานของแต่ละทีม เช่น ทีมขาย, ทีมการตลาด, ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์, ทีมบริการลูกค้า และอื่นๆ ให้ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุผลสำเร็จที่สูงขึ้นและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน วิธีใช้ OKR สร้างความร่วมมือข้ามทีม วิธีใช้ OKR เพื่อสร้างความร่วมมือข้ามทีม 1. การตั้ง Objective ร่วมที่เชื่อมโยงระหว่างทีม การตั้ง Objective (เป้าหมาย) ควรเป็นเป้าหมายที่สามารถทำให้หลายๆ ทีมทำงานร่วมกันได้โดยตรง เป้าหมายเหล่านี้ควรเป็นเป้าหมายที่มีผลกระทบต่อหลายๆ ฟังก์ชันในองค์กร และควรมีความสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจที่องค์กรต้องการ ตัวอย่าง Objective ที่สนับสนุนความร่วมมือข้ามทีม: เป้าหมายเหล่านี้ต้องมีความชัดเจนและสามารถกระตุ้นให้หลายทีมร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Team), ทีมการตลาด (Marketing Team), ทีมขาย (Sales Team), หรือทีมบริการลูกค้า (Customer Service Team) 2. การตั้ง Key Results ที่เกี่ยวข้องและวัดได้สำหรับแต่ละทีม ในแต่ละทีมควรมี Key Results (ผลลัพธ์ที่สำคัญ) ที่เชื่อมโยงกันและสามารถวัดผลได้… Read more: OKR กับการสร้างความร่วมมือข้ามทีม บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • รวมทุกเครื่องมือขายเข้าด้วยกันใน monday.com: Integrations ที่ทีมขายควรรู้
    รวมทุกเครื่องมือขายเข้าด้วยกัน การนำระบบ Integrations ที่ทีมขายควรรู้ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมขายมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้การทำงานของทีมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และราบรื่น โดยการรวมเครื่องมือ และระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันช่วยลดความยุ่งยากในการสลับไปมาระหว่างแพลตฟอร์ม หรือการป้อนข้อมูลซ้ำ ๆ ที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ การมีระบบที่เชื่อมต่อกันยังช่วยให้ข้อมูลถูกส่งต่อ และอัปเดตโดยอัตโนมัติในทุกแพลตฟอร์มที่ใช้งาน ทำให้ทุกคนในทีมสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นปัจจุบันได้ตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่สุดคือ Integrations ที่ทีมขายควรรู้ ช่วยประหยัดเวลา และลดความซับซ้อนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูล การติดตามผลการขาย หรือการทำงานร่วมกันในทีม ระบบที่เชื่อมโยงกันได้อย่างลงตัวจะทำให้ทีมสามารถทำงานได้เร็วขึ้น ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น และสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการใช้ Integrations จึงมีความสำคัญ และส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของทีมขาย รวมทุกเครื่องมือขายเข้าด้วยกัน มีเครื่องมือ และการเชื่อมต่อ (Integrations) ที่ทีมขายสามารถใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือเครื่องมือหลักที่ควรทราบ 1. CRM Integrations 2. การสื่อสาร 3. การจัดการอีเมล 4. เครื่องมือการจัดการข้อมูล 5. การจัดการโครงการ 6. การชำระเงิน 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 8. การตลาด 9. การบริการลูกค้า monday.com เป็นซอฟท์แวร์เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้น ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย ขั้นตอนการตั้งค่า Integrations ใน monday.com 4. เลือก Integration ที่ต้องการ คุณจะเห็นรายการของ Integrations ที่มีให้เลือก 5. ทำการเชื่อมต่อ… Read more: รวมทุกเครื่องมือขายเข้าด้วยกันใน monday.com: Integrations ที่ทีมขายควรรู้
  • OKR ในยุคดิจิทัล ปรับตัวอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
    การปรับตัวของ OKR ในยุคดิจิทัล OKR ในยุคดิจิทัล ปรับตัวอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ยุคดิจิทัลทำให้โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยี, พฤติกรรมของลูกค้า, และวิธีการทำงานของทีม เมื่อธุรกิจและทีมงานต้องการความยืดหยุ่นและการปรับตัวเร็ว OKR จึงต้องมีความยืดหยุ่นในการตั้งเป้าหมายและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เพื่อให้การใช้ OKR ยังคงมีประสิทธิภาพ วิธีปรับตัวของ OKR ในยุคดิจิทัล 1. การปรับ Objective ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี OKR ในยุคดิจิทัล ปรับตัวอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ในยุคดิจิทัล เป้าหมายขององค์กรต้องสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในการทำงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ตัวอย่าง Objective ที่ปรับตามการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล: การตั้งเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้ทีมสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ทันกับโลกดิจิทัล 2. การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการติดตามผลและการสื่อสาร เครื่องมือดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามความคืบหน้าและประเมินผลการทำงานในเชิงข้อมูลในยุคดิจิทัล เครื่องมือเช่น Asana, Monday.com, Trello, Jira, หรือ OKR software tools สามารถช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการอัปเดตสถานะงานหรือเป้าหมายแบบเรียลไทม์ ลดความยุ่งยากในการติดตามและรายงานผล ตัวอย่างการใช้เครื่องมือในการติดตาม OKR: 3. การปรับ Key Results ให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การตั้ง Key Results ควรให้ความสำคัญกับ ผลลัพธ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาดหรือข้อกำหนดทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การตั้ง Key Results ที่มีความยืดหยุ่นจะช่วยให้ทีมสามารถปรับตัวได้เร็ว ตัวอย่าง Key Results ที่ยืดหยุ่น: การตั้ง Key Results ที่มีความยืดหยุ่นจะช่วยให้ทีมขายสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่างรวดเร็วหากเกิดความไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 4.… Read more: OKR ในยุคดิจิทัล ปรับตัวอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
  • วัดผลการขายด้วยแดชบอร์ดใน monday.com
    การใช้แดชบอร์ดใน วัดผลการขายด้วยแดชบอร์ด มีความสำคัญเพราะช่วยให้ทีมขายสามารถติดตามข้อมูล และผลลัพธ์ได้แบบเรียลไทม์ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย แดชบอร์ดทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลสำคัญจากแหล่งต่าง ๆ มานำเสนอในลักษณะภาพรวมที่สามารถดู และ วิเคราะห์ได้ทันที ทำให้ผู้จัดการทีม และ ทีมขายสามารถเห็นภาพรวมของกระบวนการขายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย เป้าหมายที่ต้องบรรลุ หรือโอกาสการขายที่อยู่ระหว่างดำเนินการ สิ่งนี้ช่วยให้การตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนทำได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน และแม่นยำ Photo by Stephen Dawson on Unsplash นอกจากนี้ แดชบอร์ดยังช่วยในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแต่ละสมาชิกในทีม ช่วยให้ผู้จัดการสามารถมองเห็นถึงความสามารถในการทำงานของทีมงานได้ชัดเจน ทั้งในแง่ของยอดขาย ความสามารถในการปิดการขาย และประสิทธิภาพในการจัดการกับโอกาสการขาย ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยปรับปรุงกลยุทธ์การขาย และการจัดการทรัพยากรในทีมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การมีแดชบอร์ดยังช่วยลดความซับซ้อนในการรายงานผล เพราะข้อมูลทุกอย่างถูกแสดงผลในที่เดียว การดึงข้อมูลจากระบบต่าง ๆ เพื่อสร้างรายงานแบบมืออาจใช้เวลานาน แต่ด้วยแดชบอร์ด ข้อมูลจะถูกอัปเดตอัตโนมัติ ทำให้สามารถตรวจสอบความก้าวหน้า และปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันที แดชบอร์ดยังทำให้การติดตาม KPI ของทีมขายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น โดยมีการวัดผลที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ทำให้ทีมสามารถโฟกัสไปที่การบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง แดชบอร์ดยังสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เมื่อทุกคนในทีมสามารถเห็นข้อมูลเดียวกัน ทีมขายจะสามารถร่วมมือกันได้ดีขึ้น และเข้าใจทิศทางในการดำเนินงานมากขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพของทีม แต่ยังสร้างขวัญ และกำลังใจในการทำงานให้สูงขึ้นด้วย การวัดผลการขายด้วยแดชบอร์ดใน monday.com มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยทีมขายและผู้บริหารในการติดตามผลการดำเนินงานและประเมินประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว และ แม่นยำ แดชบอร์ดช่วยให้สามารถเห็นข้อมูลสำคัญทั้งหมดในที่เดียว เช่น ยอดขาย, โอกาสการขาย, สถานะการปิดการขาย, และ KPI ต่าง ๆ ซึ่งทำให้สามารถตัดสินใจได้ทันที เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือมีข้อมูลใหม่ๆ แดชบอร์ด ยังช่วยให้สามารถติดตามประสิทธิภาพของทีมขายได้แบบเรียลไทม์ เช่น การดูผลลัพธ์การทำงานของแต่ละสมาชิกในทีม, การปิดการขาย, และเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ และ เป้าหมายได้ทันท่วงที นอกจากนี้การใช้แดชบอร์ด ยังช่วยในการวิเคราะห์… Read more: วัดผลการขายด้วยแดชบอร์ดใน monday.com
  • OKR และการพัฒนาบุคลากร สร้างทีมขายที่แข็งแกร่ง
    OKR และการพัฒนาบุคลากร สร้างทีมขายที่แข็งแกร่ง การนำ OKR มาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาบุคลากรในทีมขาย นับเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับทีม โดยการสร้างความชัดเจนในเป้าหมายร่วมกัน และส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเองและทีม OKR และการพัฒนาบุคลากร สร้างทีมขายที่แข็งแกร่ง มีดังนี้ ทำไมต้องเชื่อมโยง OKR กับการพัฒนาบุคลากร ตัวอย่าง Objective: วิธีการเชื่อมโยง OKR กับการพัฒนาบุคลากร ตัวอย่าง OKR สำหรับการพัฒนาบุคลากรในทีมขาย Objective Key Results KPI เพิ่มทักษะการเจรจาต่อรองของทีมขาย 20% ภายในสิ้นปี จำนวนพนักงานที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการเจรจาต่อรอง จำนวนพนักงานที่เข้าร่วมอบรม เพิ่มอัตราการปิดการขายจาก 20% เป็น 30% อัตราการปิดการขายเฉลี่ยต่อเดือน ลดระยะเวลาในการปิดการขายลง 10 วัน ระยะเวลาเฉลี่ยในการปิดการขายแต่ละดีล Key Results จะเป็นตัวชี้วัดที่สามารถบอกได้ว่าทีมขายมีการพัฒนาไปถึงไหนหรือยัง โดย Key Results ต้องสามารถวัดได้และเชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ เช่น ทักษะการเจรจาต่อรอง, การใช้เครื่องมือ CRM, การฝึกอบรมภายในทีม, และการร่วมมือกันในทีม ตัวอย่าง Key Results: กิจกรรมพัฒนาบุคลากรที่สอดคล้องกับ OKR ตัวอย่างกิจกรรม 3. พัฒนาทักษะที่สำคัญในทีมขาย การพัฒนาทักษะในทีมขายไม่ใช่แค่เรื่องของการฝึกอบรมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาในหลายๆ ด้านที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการขายได้อย่างยั่งยืน เช่น: 4. สร้างโปรแกรมการฝึกอบรมที่เหมาะสม การฝึกอบรมที่เหมาะสมและมีการวัดผลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขายของทีม โดยต้องออกแบบโปรแกรมที่ครอบคลุมทั้งการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การฝึกใช้เครื่องมือที่จำเป็น และการเรียนรู้จากกรณีศึกษาเพื่อให้ทีมขายสามารถนำไปปรับใช้ในสถานการณ์จริง ตัวอย่างโปรแกรมฝึกอบรม: 5. ติดตามผลและปรับปรุง การติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทีมขาย โดยการวัดผลการดำเนินงานในแต่ละสัปดาห์หรือเดือนจะช่วยให้เห็นภาพรวมของความก้าวหน้า และสามารถปรับกลยุทธ์หรือลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาทีมขายในด้านที่ยังขาดอยู่ ตัวอย่างการติดตามผล: 6.… Read more: OKR และการพัฒนาบุคลากร สร้างทีมขายที่แข็งแกร่ง
  • OKR กับ Sales Funnel วิธีใช้ OKR เพื่อเพิ่มอัตราการปิดการขาย
    OKR กับ Sales Funnel วิธีใช้ OKR เป็นวิธีการที่ชาญฉลาดในการเพิ่มประสิทธิภาพของทีมขายและผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการทำเช่นนี้จะช่วยให้ทีมมีความชัดเจนในเป้าหมาย และสามารถติดตามความคืบหน้าของการขายได้อย่างแม่นยำ OKR กับ Sales Funnel วิธีใช้ OKR วิธีการเชื่อมโยง OKR กับ Sales Funnel ตัวอย่างการเชื่อมโยง OKR กับ Sales Funnel Objective Key Results KPI Sales Funnel Stage เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ A ขึ้น 20% ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ A 100 ราย จำนวน Lead ที่เข้าสู่ขั้นตอน Demo Decision อัตราการปิดการขายจาก Demo เป็น Deal Decision เพิ่มมูลค่าการขายเฉลี่ยต่อรายการของผลิตภัณฑ์ A ขึ้น 15% มูลค่าการขายเฉลี่ยต่อ Deal Decision ตัวอย่างการนำไปใช้จริง สมมติว่าบริษัท A มีเป้าหมายในการเพิ่มยอดขายซอฟต์แวร์ใหม่ภายในไตรมาสนี้ OKR และ Sales Funnel อาจถูกกำหนดดังนี้ ขั้นตอนในการใช้ OKR เพื่อเพิ่มอัตราการปิดการขาย 1. กำหนด Objective (เป้าหมาย) Objective คือเป้าหมายที่ท้าทายและชัดเจนที่ต้องการบรรลุในระยะเวลาที่กำหนด ในการเพิ่มอัตราการปิดการขาย เป้าหมายที่ดีจะต้องมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการขายในทุกขั้นตอนของ Sales Funnel… Read more: OKR กับ Sales Funnel วิธีใช้ OKR เพื่อเพิ่มอัตราการปิดการขาย
  • เพิ่มประสิทธิภาพทีมขายด้วย monday.com การใช้ Automation เพื่อประหยัดเวลา
    การใช้ Automation เพื่อประหยัดเวลา ฟีเจอร์ Automation ช่วยให้ทีมขายประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยการจัดการกับงานซ้ำ ๆ และกระบวนการที่ต้องทำเป็นประจำอย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและการปิดการขาย ตัวอย่างเช่น การติดตามลูกค้าอัตโนมัติที่เกิดขึ้นหลังจากการส่งข้อเสนอหรือการติดต่อลูกค้าครั้งแรก เมื่อมีระบบ Automation ทีมขายไม่จำเป็นต้องจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ การแจ้งเตือนจะถูกส่งให้ลูกค้าหรือทีมงานตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ ทำให้กระบวนการขายลื่นไหลขึ้น Photo by Austin Distel on Unsplash การใช้ Automation เพื่อประหยัดเวลา ยังช่วยจัดการกับการบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบ CRM โดยอัตโนมัติ เช่น การบันทึกข้อมูลการติดต่อ การอัปเดตสถานะของโอกาสการขาย หรือการส่งข้อมูลไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้ลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ช่วยให้ทีมขายมีข้อมูลที่แม่นยำและสามารถติดตามความก้าวหน้าได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการอัปเดตระบบทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียเวลาป้อนข้อมูลเอง อีกหนึ่งด้านที่ Automation มีบทบาทสำคัญคือการจัดการกับกระบวนการขายแบบเป็นขั้นตอน เช่น การยืนยันคำสั่งซื้อ การออกใบแจ้งหนี้ หรือการส่งข้อมูลไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีการตั้งค่า Automation กระบวนการเหล่านี้จะทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ลดการรอคอยและช่วยให้ทุกขั้นตอนเกิดขึ้นเร็วขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนในทีม ทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และช่วยให้ทีมขายสามารถโฟกัสกับการหาลูกค้าใหม่และการสร้างยอดขายเพิ่มเติมได้ การใช้ Automation ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทีมขายทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความสม่ำเสมอในกระบวนการทำงาน ทำให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเป็นระบบและควบคุมได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลให้ทั้งประสิทธิภาพการทำงานของทีมขายและประสบการณ์ของลูกค้าดีขึ้นอย่างชัดเจน การเพิ่มประสิทธิภาพทีมขายสามารถทำได้หลายวิธี โดยการใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ที่เหมาะสม ช่วยให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ต่อไปนี้คือแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย: 1. ใช้เครื่องมือจัดการงานที่มีประสิทธิภาพ 2. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ 3. ฝึกอบรมและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง 4. กระตุ้นและสร้างแรงจูงใจ 5. วิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การขายอย่างต่อเนื่อง 6. สนับสนุนการทำงานร่วมกันในทีม 7. การบริหารเวลาและกำหนดลำดับความสำคัญ 8. ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการตัดสินใจ… Read more: เพิ่มประสิทธิภาพทีมขายด้วย monday.com การใช้ Automation เพื่อประหยัดเวลา
  • การจัดการโอกาสทางการขาย (Sales Pipeline) ด้วย monday.com
    การจัดการโอกาสทางการขาย (Sales Opportunities) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ทีมขายสามารถระบุและติดตามโอกาสในการปิดการขายที่มีศักยภาพสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จของทีมขายและการเติบโตของธุรกิจ โดยการจัดการโอกาสทางการขายที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยเพิ่มอัตราการปิดการขายและเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการโอกาสทางการขาย sales pipeline มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการขาย เพราะเป็นการสร้างภาพรวมที่ชัดเจนของขั้นตอนต่าง ๆ ที่ลูกค้าผ่านไปตั้งแต่เริ่มสนใจจนถึงการปิดการขาย การจัดการ pipeline อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ทีมขายสามารถติดตามและประเมินความคืบหน้าของโอกาสการขายได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถระบุได้ว่าในแต่ละขั้นตอนมีลูกค้ากี่รายที่อยู่ใน pipeline และมีโอกาสในการปิดการขายในแต่ละช่วงเท่าไร การมีข้อมูลที่ชัดเจนนี้ช่วยให้ทีมสามารถวางแผนและปรับกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำคัญของการจัดการโอกาสทางการขาย Photo by Jason Goodman on Unsplash การจัดการ sales pipeline ที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงที่โอกาสการขายจะตกหล่น เพราะทีมขายสามารถติดตามลูกค้าแต่ละรายได้อย่างต่อเนื่องและมีระบบ ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับการดูแลตามที่ควร โดยเฉพาะในขั้นตอนที่สำคัญ เช่น การติดตามผลหรือการตอบคำถาม การมี pipeline ที่ชัดเจนยังช่วยให้ทีมงานเห็นถึงปัญหาหรืออุปสรรคในกระบวนการขายได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถปรับปรุงวิธีการทำงานได้ทันเวลา นอกจากนี้ การจัดการ pipeline ยังช่วยให้การประสานงานภายในทีมดีขึ้น เมื่อทุกคนมีภาพรวมที่ชัดเจนของ pipeline การสื่อสารและการทำงานร่วมกันจะเป็นไปอย่างราบรื่นและเข้าใจตรงกัน ทำให้กระบวนการขายสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด monday.com เป็นซอฟท์แวร์เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้น ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย การจัดการ โอกาสทางการขาย (Sales Opportunities) มีประโยชน์หลายประการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีมขายและส่งเสริมความสำเร็จของธุรกิจ ดังนี้: 1. เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย 2. ปรับปรุงการตัดสินใจ 3. การวางแผนการขายที่มีประสิทธิภาพ 4. เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร 5. การคาดการณ์ยอดขายที่แม่นยำ 6. การติดตามผลและการปรับกลยุทธ์ 7. เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า 8. การพัฒนาทักษะการขาย 9. การวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มการขาย 10.… Read more: การจัดการโอกาสทางการขาย (Sales Pipeline) ด้วย monday.com
  • การติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์ด้วย monday.com
    การติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์ มีความสำคัญอย่างมากเพราะช่วยให้ผู้จัดการทีมและทีมขายสามารถรับรู้ถึงสถานะปัจจุบันของยอดขายและกระบวนการขายได้ทันที ข้อมูลที่อัปเดตอย่างต่อเนื่องทำให้ทุกคนมีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทำให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การรับรู้ถึงปัญหาหรือโอกาสที่เกิดขึ้นในเวลาจริงช่วยให้ทีมสามารถปรับกลยุทธ์หรือแนวทางการขายได้ทันที ไม่ต้องรอการรายงานผลแบบสรุปที่อาจทำให้เสียเวลาและทำให้พลาดโอกาสสำคัญ Photo by krakenimages on Unsplash การติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์ ยังทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีข้อมูลสนับสนุน ผู้จัดการสามารถเห็นได้ว่าผลลัพธ์การขายของทีมเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่วางไว้ และหากพบว่ามีช่องว่างระหว่างยอดขายที่ทำได้กับเป้าหมาย ก็สามารถดำเนินการแก้ไขหรือนำเสนอวิธีการช่วยเหลือทันที เช่น การมอบหมายงานใหม่ การให้คำแนะนำเพิ่มเติม หรือการปรับกระบวนการทำงาน เพื่อให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้ง การติดตามแบบเรียลไทม์ยังช่วยให้การสื่อสารภายในทีมเป็นไปอย่างโปร่งใส เมื่อทุกคนในทีมสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งยอดขายส่วนตัวหรือยอดรวมของทีม ทำให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ของทีมในขณะนั้นและสามารถทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น การแข่งขันภายในทีมที่สร้างสรรค์และมีข้อมูลสนับสนุนช่วยกระตุ้นให้สมาชิกทีมพัฒนาตัวเองและทำงานได้ดีขึ้น การมีข้อมูลที่ชัดเจนในทันทีจึงเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญในการผลักดันให้ทีมบรรลุเป้าหมายยอดขายตามที่ตั้งไว้ monday.com เป็นซอฟท์แวร์เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้น ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย การใช้งาน monday.com เพื่อติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์นั้นมีประโยชน์มากมาย เช่น การติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการปิดการขาย นี่คือวิธีการใช้ monday.com เพื่อช่วยให้การติดตามทีมขายของคุณมีประสิทธิภาพ 1. สร้างกระดานสำหรับทีมขาย 2. กำหนดคอลัมน์สำคัญ 3. ติดตามการดำเนินการแบบเรียลไทม์ 4. ใช้แดชบอร์ดสำหรับการวิเคราะห์ 5. การสื่อสารในทีม 6. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น ๆ วิธีการใช้ monday.com ติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างการใช้ monday.com สำหรับทีมขาย ข้อดีของการใช้ monday.com ติดตามทีมขาย สรุป monday.com เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการติดตามทีมขายแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของทีมขาย และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างสำเร็จ
  • สร้างวัฒนธรรม OKR ในทีมขาย เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำงานแสดงร่างคำตอบ
    สร้างวัฒนธรรม OKR ในทีมขาย เปลี่ยนวิธีคิดในทีมขายนั้น เป็นกระบวนการที่ต้องการความร่วมมือและการมุ่งมั่นจากทุกคนในทีมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และท้าทาย ซึ่ง OKR ไม่เพียงแค่ช่วยให้ทีมขายมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่ยังเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้เกิดการทำงานร่วมกัน, การติดตามผล, และการปรับปรุงประสิทธิภาพการขายอย่างต่อเนื่อง สร้างวัฒนธรรม OKR ในทีมขาย ต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน, มีการติดตามผลที่สม่ำเสมอ, และต้องสนับสนุนการพัฒนาและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทีมสามารถบรรลุเป้าหมาย 1. สื่อสารให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ตัวอย่าง 2. มีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมาย ตัวอย่าง 3. ติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่าง 4. สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ ตัวอย่าง 5. ให้รางวัลและการยอมรับ ตัวอย่าง 6. ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ขั้นตอนในการสร้างวัฒนธรรม OKR ในทีมขาย ตัวอย่างการใช้ OKR ในทีมขาย Objective: เพิ่มยอดขาย 30% ในไตรมาสที่ 3 Key Results: การติดตามผล: รางวัล:
  • เชื่อมโยง OKR กับ KPI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย
    เชื่อมโยง OKR กับ KPI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย เป็นการย่อมาจากการเชื่อมโยง OKR (Objectives and Key Results) กับ KPI (Key Performance Indicators) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ ทีมขาย เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกำหนดเป้าหมายและวัดผลการทำงาน โดยที่ OKR ช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทายมากขึ้น ในขณะที่ KPI ช่วยให้คุณติดตามการดำเนินการที่สามารถวัดได้ในแต่ละวันหรือเดือนเป็นการ เชื่อมโยง OKR กับ KPI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย มีดังนี้ 1. กำหนด OKR ที่ชัดเจนและท้าทาย 2. เลือก KPI ที่สอดคล้อง 3. ติดตามและวิเคราะห์ผล 4. สื่อสารอย่างสม่ำเสมอ 5. ปรับกลยุทธ์ตามข้อมูล 6. เฉลิมฉลองความสำเร็จ 7. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ ความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI การเชื่อมโยง OKR กับ KPI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย เมื่อ OKR และ KPI เชื่อมโยงกันอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ทีมขายมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีกระบวนการที่ชัดเจนในการติดตามและวัดผล ซึ่งช่วยในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว ขั้นตอนในการเชื่อมโยง OKR และ KPI ตัวอย่างการเชื่อมโยง OKR และ KPI Scenario: ทีมขายของบริษัทต้องการเพิ่มยอดขายในไตรมาสที่ 2 Objective: Key Results: KPI ที่ใช้ในการติดตามและวัดผล:… Read more: เชื่อมโยง OKR กับ KPI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย
  • วิธีใช้ monday.com ในการจัดการกระบวนการขายอย่างมีประสิทธิภาพ
    วิธีใช้ monday.com เครื่องมือจัดการโปรเจกต์ และการทำงานร่วมกันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทีมขาย เนื่องจากเครื่องมือเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน และการสื่อสารภายในทีม โดยการจัดเก็บข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้ในที่เดียว ทำให้สมาชิกในทีมสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นแผนการขาย กำหนดการนัดหมาย หรือข้อมูลลูกค้า เครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลหรือเอกสารที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นไปที่การขาย และการบริการลูกค้าได้มากขึ้น Photo by Campaign Creators on Unsplash นอกจากนี้ เครื่องมือจัดการโปรเจกต์ยังช่วยให้ทีมสามารถติดตามความก้าวหน้า และสถานะของงานได้อย่างชัดเจน การมีแผนที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ และการแบ่งงานให้กับสมาชิกในทีม ทำให้ทุกคนเข้าใจบทบาท และหน้าที่ของตนได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การติดตามผลการทำงานเป็นไปอย่างมีระเบียบ ซึ่งช่วยให้การประเมินผล และการปรับปรุงกระบวนการทำงานเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกหนึ่งประโยชน์ของการใช้เครื่องมือเหล่านี้คือการส่งเสริมการสื่อสารที่ดีภายในทีม การที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น แชร์แนวคิด หรือแจ้งปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันที การสื่อสารที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพทำให้ความร่วมมือระหว่างสมาชิกในทีมเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงในการเข้าใจผิดหรือการทำงานซ้ำซ้อน monday.com เป็นซอฟท์แวร์เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใสมากขึ้น ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย monday.com เป็นเครื่องมือการจัดการโปรเจกต์และการทำงานร่วมกันที่ช่วยให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือ วิธีใช้ monday.com ในการจัดการกระบวนการขาย 1. สร้างกระดานการขาย 2. กำหนดขั้นตอนการขาย 3. ติดตามและจัดการโอกาสในการขาย 4. การสื่อสารภายในทีม 5. วิเคราะห์และรายงานผล 6. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น ๆ 7. การจัดการลูกค้าหลังการขาย ตัวอย่างการใช้งาน Monday.com ในการจัดการกระบวนการขาย ข้อดีของการใช้ Monday.com ในการจัดการกระบวนการขาย การใช้ monday.com อย่างมีประสิทธิภาพในการจัดการกระบวนการขายช่วยให้กระบวนการขายมีความโปร่งใส ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ทีมขายทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • กรณีศึกษา รีวิวการใช้งาน monday.com ในธุรกิจจริง
    monday.com เป็นเครื่องมือการจัดการโปรเจกต์และการทำงานร่วมกันที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน มาดูกรณีศึกษาการใช้งานจริงในธุรกิจเพื่อให้เห็นภาพการใช้งานที่เป็นประโยชน์ กรณีศึกษา บริษัท X – การจัดการโครงการการตลาด บริษัท X เป็นบริษัทการตลาดขนาดกลางที่มีลูกค้าหลายรายและโปรเจกต์ที่หลากหลาย ก่อนที่จะใช้ monday.com บริษัทใช้เครื่องมือการจัดการโปรเจกต์ที่ค่อนข้างธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการติดตามสถานะงานและการสื่อสารภายในทีม การใช้งาน monday.com 2. การทำงานร่วมกัน 3. การวิเคราะห์และรายงาน 4. การรวมระบบ ผลลัพธ์ที่ได้รับ ข้อแนะนำในการใช้ monday.com กรณีศึกษา: รีวิวการใช้งาน Monday.com ในธุรกิจจริง 1. แนะนำ Monday.com Monday.com เป็นเครื่องมือการบริหารจัดการโปรเจกต์ที่ช่วยทีมงานในการวางแผน, ติดตามความคืบหน้า และจัดการงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและฟีเจอร์ที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงการติดตามงาน, การตั้งเป้าหมาย, การจัดการทรัพยากร, การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และการสร้างรายงานสรุป 2. ธุรกิจที่ใช้งานจริง บริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup): บริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการเครื่องมือในการจัดการโปรเจกต์หลายๆ โครงการพร้อมกัน ใช้ Monday.com เพื่อจัดการทั้งทีมพัฒนาโปรแกรม, ทีมการตลาด และทีมบริหารธุรกิจ โดยการแบ่งงานในโปรเจกต์ต่างๆ ตามประเภทงาน (Task, Bug, Feature, Marketing Campaign เป็นต้น) และติดตามความคืบหน้าแบบเรียลไทม์ ธุรกิจด้านการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing Agency): บริษัทที่ต้องการติดตามแคมเปญการตลาดของลูกค้าหลายราย โดยใช้ Monday.com เพื่อสร้างแผนการตลาด, กำหนดเวลาในการทำงาน, ตรวจสอบสถานะของแต่ละแคมเปญ และให้สมาชิกในทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ฟีเจอร์หลักที่ใช้งานในธุรกิจจริง 4. ข้อดีในการใช้งาน 5. ข้อเสียและข้อจำกัด 6. สรุป Monday.com เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจที่ต้องการการจัดการโปรเจกต์ที่ซับซ้อนและทีมงานที่ต้องการความร่วมมือสูง ฟีเจอร์ที่หลากหลาย… Read more: กรณีศึกษา รีวิวการใช้งาน monday.com ในธุรกิจจริง
  • รีวิว แผนราคา และความคุ้มค่าของ monday.com เลือกแผนไหนดีที่สุด
    Monday.com มี แผนราคา หลายระดับที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของทีมและองค์กร ซึ่งแต่ละแผนมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน และการเลือกแผนที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับขนาดของทีม ความต้องการเฉพาะ และงบประมาณของคุณ นี่คือรีวิวของแผนราคา และความคุ้มค่าของ Monday.com พร้อมแนวทางในการเลือกแผนที่เหมาะสมที่สุด แผนราคาหลักของ Monday.com แผนไหนดีที่สุด การเลือกแผนที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับขนาดของทีม และความต้องการในการทำงาน ดังนี้: ความคุ้มค่าของแต่ละแผน ข้อพิจารณาในการเลือกแผน สรุป
  • ทำไม monday.com ถึงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับ “การทำงานร่วมกัน” ของทีมแบบ Remote
    Monday.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการโครงการ (project management) และ”การทำงานร่วมกัน” (collaboration) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงที่การทำงานแบบ Remote หรือทำงานจากระยะไกล (remote work) กลายเป็นที่นิยมขึ้น ด้วยฟีเจอร์ และคุณสมบัติหลายอย่างที่ตอบโจทย์การทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในทีมที่ไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน ดังนี้ 1. การจัดการงานและโปรเจกต์อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การสื่อสารและการทำงานร่วมกันในเวลาเดียวกัน 3. การติดตามความคืบหน้าและการรายงาน 4. การเชื่อมโยงกับเครื่องมืออื่นๆ 5. การทำงานแบบยืดหยุ่น 6. ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ 7. การติดตามเวลาและการจัดการทรัพยากร ข้อควรระวังในการใช้ Monday.com  สรุป Monday.com เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับ”การทำงานร่วมกัน“ของทีมแบบ Remote เพราะมีฟีเจอร์ที่รองรับการจัดการโปรเจกต์อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่รวดเร็ว การติดตามงาน และการรายงานที่ง่าย รวมถึงการทำงานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และการปรับแต่งที่เหมาะสมกับทีม และองค์กรต่างๆ ทั้งยังมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่ดี จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับทีมที่ต้องการทำงานร่วมกันจากระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสะดวกสบาย
  • การปรับแต่ง monday.com เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    การปรับแต่ง monday.com เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถทำได้หลายวิธีตามลักษณะการใช้งานของทีมงานและความต้องการที่แตกต่างกัน โดย monday.com เป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้หลากหลายวิธี เพื่อให้เหมาะสมกับการจัดการโปรเจ็กต์ การติดตามงาน และการทำงานร่วมกันของทีม ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการปรับแต่ง monday.com เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 1. สร้างบอร์ด (Board) ที่เหมาะสมกับแต่ละโปรเจ็กต์ 2. ใช้ Views ที่หลากหลายเพื่อให้มุมมองแตกต่างกัน 3. ใช้ Automations (การทำงานอัตโนมัติ) 4. ใช้การเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นๆ (Integrations) 5. ใช้ Custom Fields สำหรับข้อมูลเฉพาะ 6. ตั้งค่าการอนุมัติและการติดตามงาน 7. กำหนดสิทธิ์และการเข้าถึง 8. สร้างรายงานและแดชบอร์ด (Dashboard) 9. การฝึกอบรมและการสร้างมาตรฐาน 10. การใช้ Templates
  • monday.com รีวิว การจัดการโครงการ ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ
    Monday.com เป็นเครื่องมือที่ใช้ใน การจัดการโครงการ และการทำงานร่วมกันในทีม ซึ่งมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทีมสามารถติดตามความคืบหน้าของงาน ปรับปรุงการสื่อสาร และจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือนี้เหมาะกับทั้งทีมขนาดเล็ก และองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน การใช้งาน Monday.com ตัวอย่างการใช้งาน Monday.com ตัวอย่างที่ 1: ทีมการตลาด ทีมการตลาดสามารถใช้ Monday.com ในการจัดการแคมเปญการตลาดต่างๆ โดยสร้างบอร์ดที่มีไอเทมสำหรับแต่ละแคมเปญ เช่น: ในแต่ละแคมเปญสามารถเพิ่มข้อมูลรายละเอียดเช่น ผู้รับผิดชอบ, วันที่เริ่มต้นและสิ้นสุด, และสถานะต่างๆ เพื่อให้ทีมงานสามารถติดตามการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ 2: ทีมพัฒนาเว็บไซต์ ทีมพัฒนาเว็บไซต์สามารถสร้างบอร์ดที่ใช้ในการติดตามขั้นตอนการพัฒนา เช่น: ภายในบอร์ด ทีมสามารถกำหนดการมอบหมายงาน และติดตามความคืบหน้าอย่างชัดเจน โดยการเพิ่มคอลัมน์สถานะ เช่น “กำลังทำ”, “ทดสอบ”, “เสร็จสมบูรณ์” ข้อดีของ Monday.com ข้อควรพิจารณา สรุป Monday.com เป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นสูง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใน การจัดการโครงการ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน และใช้งานง่าย ทั้งยังสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับการทำงานของแต่ละทีมได้ แม้จะมีข้อควรระวังในเรื่องการใช้งานที่อาจจะซับซ้อนในบางกรณี แต่โดยรวมแล้วเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการจัดการโครงการในทุกระดับ
  • วิธีการใช้งาน monday.com สำหรับผู้เริ่มต้น รีวิวการตั้งค่าพื้นฐาน
    การใช้งาน monday.com สำหรับผู้เริ่มต้น: รีวิวการตั้งค่าพื้นฐาน monday.com เป็นเครื่องมือการจัดการโปรเจกต์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งช่วยให้ทีมงานสามารถติดตามงานและโปรเจกต์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นก็สามารถเริ่มใช้งานได้อย่างง่ายดาย โดยการตั้งค่าพื้นฐานจะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้เร็วและมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนการตั้งค่าพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น monday.com เป็นซอฟท์แวร์ Project Management ถ้าใครยังไม่มีแอคเคาท์สำหรับเข้าใช้งาน monday.com แบบใช้งานฟรี สามารถ กดสร้างบัญชีใหม่ได้ที่นี่เลย ขั้นตอนการตั้งค่าพื้นฐานใน monday.com 1. การลงทะเบียนและการสร้างบัญชี 2. การสร้าง Board (บอร์ด) และการจัดการโครงการ 3. การเพิ่มและจัดการคอลัมน์ 4. การเพิ่มและจัดการไอเท็ม 5. การมอบหมายและติดตามงาน 6. การสร้างมุมมองและแดชบอร์ด 7. การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น 8. การใช้ Automations (ออโตเมชัน) 9. การตั้งค่าการใช้งานเพิ่มเติม เมื่อคุณคุ้นเคยกับการใช้งาน monday.com แล้ว คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าเพิ่มเติม เช่น การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง, การตั้งค่าผู้ใช้, หรือการปรับแต่งการแจ้งเตือน และการรับข้อมูลจากระบบ สรุป การใช้งาน monday.com สำหรับผู้เริ่มต้น เป็นกระบวนการที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา การเริ่มต้นด้วยการสร้างบอร์ด, การจัดการคอลัมน์, การเพิ่มไอเท็ม, และการมอบหมายงานสามารถช่วยให้คุณและทีมงานเริ่มต้นการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับแต่งตามความต้องการได้ตามต้องการ นอกจากนี้, ฟีเจอร์การสร้างมุมมอง, การบูรณาการ, และการใช้ Automations ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโครงการและการทำงานร่วมกันให้กับทีม
  • monday.com เหมาะกับธุรกิจประเภทใด
    monday.com เป็นเครื่องมือการจัดการโปรเจคและงานที่สามารถใช้งานได้หลากหลายประเภทธุรกิจ โดยสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการและลักษณะการทำงานของแต่ละองค์กร จึงทำให้ monday.com เหมาะกับธุรกิจประเภทใด ดังนี้ 1. ธุรกิจด้านการตลาด (Marketing) monday.com เหมาะกับทีมการตลาดในการวางแผนและติดตามโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญการตลาด การจัดการโฆษณา หรือการพัฒนาเนื้อหาสื่อ 2. ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและพัฒนาซอฟต์แวร์ (Tech & Software Development) monday.com ช่วยให้ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถจัดการการพัฒนาโค้ด, การทดสอบ, การแก้ไขข้อผิดพลาด (bug), และการดำเนินงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ 3. ธุรกิจด้านการผลิต (Manufacturing) สำหรับธุรกิจที่มีการผลิตสินค้าหรือให้บริการทางอุตสาหกรรม, monday.com ช่วยให้การจัดการกระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพเป็นไปได้อย่างมีระเบียบ 4. ธุรกิจด้านบริการลูกค้า (Customer Service) monday.com ช่วยให้ทีมบริการลูกค้าสามารถติดตามคำร้อง, การแจ้งปัญหา และตอบสนองต่อคำถามหรือข้อร้องเรียนของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. ธุรกิจด้านการศึกษา (Education) monday.com สามารถใช้ในการจัดการโครงการการเรียนการสอน, การติดตามความคืบหน้าของนักเรียน หรือการวางแผนกิจกรรมต่างๆ 6. ธุรกิจด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (HR) monday.com เหมาะสำหรับการจัดการกระบวนการสรรหาพนักงาน การฝึกอบรม การประเมินผลพนักงาน หรือการจัดการผลตอบแทน 7. ธุรกิจด้านการขายและการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Sales & CRM) monday.com สามารถใช้เพื่อจัดการกระบวนการขาย, การติดตามลูกค้า, การจัดการโอกาสทางธุรกิจ และการสร้างรายงานการขาย 8. ธุรกิจด้านการเงิน (Finance) monday.com ช่วยในการจัดการแผนการเงิน, การตรวจสอบงบประมาณ และการติดตามการใช้จ่าย 9. ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพ (Small Businesses & Startups) monday.com เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพที่ต้องการเครื่องมือที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการและมีค่าใช้จ่ายที่ยืดหยุ่น เหตุผลที่ Monday.com เป็นที่นิยม สรุป monday.com เป็นเครื่องมือที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลายประเภทธุรกิจ โดยสามารถใช้ในการจัดการงาน, ติดตามความคืบหน้า, และการสื่อสารภายในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ… Read more: monday.com เหมาะกับธุรกิจประเภทใด
  • รีวิว monday.com เปรียบเทียบกับเครื่องมือจัดการงานอื่นๆ เช่น Trello, Asana, หรือ ClickUp
    รีวิว Monday.com และการเปรียบเทียบกับเครื่องมือจัดการงานยอดนิยมอื่นๆ เช่น Trello, Asana, และ ClickUp สามารถช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงานและการจัดการทีมของคุณได้ง่ายขึ้น โดยเครื่องมือเหล่านี้ต่างมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. Monday.com ข้อดี ข้อเสีย 2. Trello ข้อดี ข้อเสีย 3. Asana ข้อดี ข้อเสีย 4. ClickUp ข้อดี ข้อเสีย เปรียบเทียบโดยรวม ฟีเจอร์ Monday.com Trello Asana ClickUp ความยืดหยุ่น สูง ปานกลาง สูง สูง การใช้งานง่าย ปานกลาง ง่ายมาก ปานกลาง ปานกลาง ฟีเจอร์ ครบวงจร จำกัด ครบถ้วน ครบวงจร แผนฟรี มี (จำกัดฟีเจอร์) มี (ดีสำหรับผู้เริ่มต้น) มี (จำกัดฟีเจอร์) มี (ครบครัน) การผสานการทำงาน ดีมาก ดี ดี ดีมาก เหมาะกับ ทีมขนาดกลางถึงใหญ่ ทีมขนาดเล็ก ทีมขนาดกลาง ทีมขนาดใหญ่ถึงยักษ์ สรุป
  • รีวิวเจาะลึก monday.com คืออะไร และดีอย่างไร
    monday.com คืออะไร เครื่องมือการจัดการงานและการทำงานร่วมกัน (collaboration) ที่ได้รับความนิยมสูงในองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ใช้ในการวางแผนโครงการ, การติดตามงาน, การจัดการทรัพยากร, และการสื่อสารภายในทีม นี่คือรีวิวเจาะลึกเกี่ยวกับ monday.com รวมถึงข้อดีและคุณสมบัติหลักที่ทำให้เป็นเครื่องมือที่โดดเด่น ฟีเจอร์หลักของ Monday.com ที่ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการงานและโปรเจกต์ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่: 1. การจัดการงานและโปรเจกต์ (Project and Task Management) 2. การทำงานร่วมกันในทีม (Team Collaboration) 3. การติดตามเวลา (Time Tracking) 4. การตั้งค่าอัตโนมัติ (Automations) 5. การตั้งเป้าหมายและ KPI (Goal Tracking and KPI) 6. การผสานการทำงาน (Integrations) 7. การมองเห็นข้อมูล (Visualization) 8. การทำงานระยะไกล (Remote Work Support) 9. การรายงาน (Reporting) 10. ความปลอดภัยและการควบคุม (Security and Permissions) ข้อดีของ Monday.com ข้อเสียของ Monday.com เหมาะกับใคร Monday.com เหมาะสำหรับทุกทีมที่ต้องการเครื่องมือจัดการโปรเจกต์และงานที่มีความยืดหยุ่นสูงและใช้งานง่าย โดยเฉพาะสำหรับ สรุป Monday.com เป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นและมีฟีเจอร์ที่หลากหลายสำหรับการจัดการงานและโปรเจกต์ในทุกขนาดทีม หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันและการติดตามโปรเจกต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ Monday.com อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากคุณเพียงแค่ต้องการเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อนอาจต้องพิจารณาเครื่องมือที่มีฟีเจอร์น้อยกว่านี้
  • monday.com เครื่องมือ ที่ช่วยให้ HR ทำงานได้ง่ายและเร็วขึ้น
    monday.com เครื่องมือ การจัดการงานและโปรเจกต์ที่มีฟีเจอร์หลากหลาย ซึ่งช่วยให้ทีมงาน HR (Human Resources) สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการจัดการงานภายในองค์กร นี่คือวิธีที่ monday.com ช่วยให้ทีม HR ทำงานได้ง่ายขึ้น 1. การจัดการการสรรหาพนักงาน (Recruitment) 2. การจัดการการฝึกอบรมและพัฒนา (Training and Development) 3. การติดตามและจัดการพนักงาน (Employee Management) 4. การสร้างรายงานและการวิเคราะห์ (Reporting and Analytics) 5. การทำงานร่วมกัน (Collaboration) 6. การจัดการภาระงาน (Task Management) 7. การทำงานในรูปแบบคลาวด์ (Cloud-based) monday.com เป็นเครื่องมือที่ดีมากสำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ที่ต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลาย สามารถช่วย HR ในหลายด้าน เช่น 2. การติดตามสถานะการทำงาน สามารถติดตามความก้าวหน้าและสถานะของงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของพนักงานได้แบบเรียลไทม์ 3. การจัดการฐานข้อมูลพนักงาน สามารถจัดเก็บข้อมูลพนักงาน เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล การประเมินผล การอบรม และอื่น ๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ 4. การจัดการกิจกรรม HR รวมถึงการจัดการการสรรหาพนักงาน การติดตามใบสมัคร การนัดสัมภาษณ์ และการจัดการเอกสารต่าง ๆ 5. การสร้างรายงานและการวิเคราะห์ สามารถสร้างรายงานและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจและวางแผนได้ง่ายขึ้น 6. การทำงานร่วมกัน ช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างทีม HR และทีมอื่น ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การแชท การแชร์เอกสาร และการจัดการงานร่วมกัน ข้อควรระวังในการใช้ monday.com… Read more: monday.com เครื่องมือ ที่ช่วยให้ HR ทำงานได้ง่ายและเร็วขึ้น
  • การใช้ monday.com ในการติดตามความคืบหน้าของงาน HR
    การใช้ monday.com ในการติดตามความคืบหน้าของงาน HR เป็นเครื่องมือที่ดีในการจัดการและบริหารงานบุคคล (HR) ด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถมองเห็นภาพรวมของงานที่ต้องทำอย่างชัดเจน นี่คือลำดับขั้นตอนในการใช้งาน วิธีการใช้ monday.com ในการติดตามความคืบหน้าของงาน HR 1. สร้าง Board สำหรับการติดตามงาน HR 2. กำหนดคอลัมน์ให้เหมาะสมกับการติดตามงาน HR ใน board HR ควรมีคอลัมน์ที่สะดวกในการติดตามงาน ดังนี้: 3. ติดตามสถานะของงาน 4. ใช้ Automations เพื่อการจัดการที่ง่ายขึ้น 5. ใช้ Dashboards สำหรับการดูภาพรวม 6. การใช้ Integrations 7. การรายงานและการวิเคราะห์ 8. การตรวจสอบและการปรับปรุง เหตุผลที่ควรใช้ monday.com ในการติดตามงาน HR ประโยชน์ของการใช้ monday.com ในงาน HR ข้อดีของการใช้ monday.com ในการติดตามงาน HR ข้อควรระวังในการใช้ monday.com
  • การใช้ monday.com เพื่อปรับปรุงการสื่อสารในทีม HR
    การใช้ monday.com เพื่อปรับปรุงการสื่อสารในทีม HR สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการจัดการทีมได้อย่างมีระเบียบ โดยเฉพาะเมื่อทีม HR ต้องการการประสานงานที่ดีและการติดตามผลที่ชัดเจน รวมถึงการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในทีม HR ที่อาจมีตำแหน่งและภารกิจที่แตกต่างกัน นี่คือวิธีการใช้, ตัวอย่าง, เหตุผลที่ควรใช้, ประโยชน์, ข้อดี และข้อควรระวังที่ควรพิจารณา วิธีการใช้ monday.com เพื่อปรับปรุงการสื่อสารในทีม HR 1. สร้างบอร์ดงานสำหรับการสื่อสารและการจัดการงาน monday.com มีฟีเจอร์บอร์ดที่ช่วยให้ทีม HR สามารถติดตามและจัดการงานต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน เช่น: 2. ใช้ฟีเจอร์ @mentions และแสดงความคิดเห็น การใช้ฟีเจอร์ @mention หรือการแสดงความคิดเห็น (comments) บนรายการงานต่าง ๆ ช่วยให้การสื่อสารในทีม HR เป็นไปได้ง่ายและตรงประเด็น: 3. ใช้การตั้งเตือนและการติดตามงาน การตั้ง เตือน (Reminders) และการติดตามสถานะงานช่วยให้การสื่อสารในทีม HR เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ: 4. สร้างแดชบอร์ดเพื่อการสื่อสารที่โปร่งใส monday.com มีฟีเจอร์ แดชบอร์ด (Dashboard) ที่ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างโปร่งใส: 5. ใช้การรวมข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ monday.com สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันและเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Google Drive, Slack, Microsoft Teams, และ Outlook เพื่อให้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ถูกรวมในที่เดียว: 6. การสร้างรายงานและสรุปการทำงาน monday.com ช่วยให้การสร้าง รายงาน (Reports) เป็นไปได้อย่างสะดวก: 7. การแบ่งปันข้อมูลระหว่างทีมต่าง ๆ monday.com ช่วยให้ทีม HR สามารถแบ่งปันข้อมูลกับทีมอื่น ๆ ในองค์กรได้อย่างสะดวก: 8. การทำงานร่วมกันแบบข้ามทีม การทำงานร่วมกันใน monday.com ไม่จำกัดเฉพาะทีม HR เท่านั้น แต่สามารถขยายไปยังทีมอื่น ๆ… Read more: การใช้ monday.com เพื่อปรับปรุงการสื่อสารในทีม HR
  • การใช้ monday.com ในการสร้างและจัดการกระบวนการฝึกอบรมพนักงาน
    การใช้ monday.com ในการสร้างและจัดการกระบวนการฝึกอบรมพนักงาน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้กระบวนการการเรียนรู้และพัฒนาพนักงานเป็นไปอย่างมีระเบียบและสามารถติดตามความคืบหน้าได้อย่างง่ายดาย โดย monday.com เป็นเครื่องมือในการจัดการโครงการที่มีฟังก์ชันหลากหลายที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันในทีมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้จะขออธิบายวิธีการใช้, ตัวอย่างการใช้, เหตุผลที่ควรใช้, ประโยชน์, ข้อดี และข้อควรระวังในการใช้ monday.com สำหรับการฝึกอบรมพนักงาน วิธีการใช้ monday.com ในการจัดการกระบวนการฝึกอบรมพนักงาน 1. สร้างบอร์ดใหม่สำหรับการฝึกอบรม 2. กำหนดคอลัมน์หลัก 3. กำหนดกระบวนการฝึกอบรม 4. ติดตามการเข้าร่วมฝึกอบรม 5. เก็บข้อมูลผลการฝึกอบรม 6. การสื่อสารและการแชร์ข้อมูล 7. วิเคราะห์ข้อมูลและการรายงาน 8. การประเมินและปรับปรุง ตัวอย่างการใช้ monday.com ในการจัดการกระบวนการฝึกอบรมพนักงาน เหตุผลที่ควรใช้ monday.com ในการจัดการฝึกอบรมพนักงาน ประโยชน์ของการใช้ monday.com ในการฝึกอบรมพนักงาน ข้อดีของการใช้ monday.com สำหรับการฝึกอบรมพนักงาน ข้อควรระวังในการใช้ monday.com ในการฝึกอบรมพนักงาน สรุป การใช้ monday.com ในการสร้างและจัดการกระบวนการฝึกอบรมพนักงาน มีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง โดยสามารถช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการฝึกอบรม ขณะเดียวกันก็ช่วยให้การติดตามและประเมินผลง่ายขึ้น ดังนั้น การเลือกใช้ monday.com จึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่ควรระมัดระวังในการตั้งค่าหรือการใช้งานในช่วงแรกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • การใช้ monday.com สำหรับการจัดการเวิร์กโฟลว์ของฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR)
    การใช้ monday.com สำหรับการจัดการเวิร์กโฟลว์ของฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีม HR โดยสามารถจัดระเบียบงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และสร้างความโปร่งใสในการทำงานทุกขั้นตอน ต่อไปนี้คือลักษณะการใช้ monday.com เพื่อการจัดการเวิร์กโฟลว์ของ HR 1. จัดการการสรรหาพนักงาน (Recruitment) 2. การจัดการข้อมูลพนักงาน (Employee Management) 3. การจัดการวันหยุดและการลา (Leave and Attendance Management) 4. การจัดการการประเมินผล (Performance Management) 5. การจัดการด้านการจ่ายเงินและสวัสดิการ (Payroll & Benefits) 6. การรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล (Reporting and Analytics) 7. การจัดการการสื่อสาร (Communication) ประโยชน์ของการใช้ monday.com สำหรับการจัดการเวิร์กโฟลว์ใน HR ข้อดีของ monday.com สำหรับการจัดการเวิร์กโฟลว์ HR ข้อควรระวัง สรุปการใช้ monday.com สำหรับการจัดการเวิร์กโฟลว์ของฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จะช่วยให้กระบวนการต่างๆ ภายในองค์กรมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีข้อดีในเรื่องของความยืดหยุ่น การติดตามงาน และการทำงานร่วมกันระหว่างทีมต่างๆ แต่ก็มีข้อควรระวังในเรื่องของค่าใช้จ่าย การฝึกอบรม และการดูแลระบบให้มีความปลอดภัย
  • การใช้ monday.com ในการจัดการโครงการ HR
    การใช้ monday.com ในการจัดการโครงการ HR (Human Resources) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยจัดระเบียบงาน, ติดตามความคืบหน้าของโครงการ, และเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารภายในทีม HR และบุคคลากรในองค์กร. monday.com เป็นแพลตฟอร์มการทำงานที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับกระบวนการทำงานของทีม HR ได้หลากหลายรูปแบบ 2. ใช้เทมเพลตที่เหมาะสม monday.com มีเทมเพลตที่หลากหลาย ซึ่งสามารถช่วยให้คุณเริ่มต้นได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น เทมเพลตสำหรับการสรรหาพนักงาน หรือการจัดการการฝึกอบรม 3.ตั้งค่า Column ที่เหมาะสม ใช้คอลัมน์ต่าง ๆ เช่น “สถานะ” (เช่น อยู่ระหว่างการดำเนินการ, เสร็จสิ้น), “วันที่กำหนดเสร็จ” และ “ผู้รับผิดชอบ” เพื่อให้ติดตามสถานะ และการดำเนินงานได้ง่าย 4. ใช้ Automations ตั้งค่าการทำงานอัตโนมัติ (automations) เพื่อให้ระบบสามารถแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ หรือส่งอีเมลอัตโนมัติเมื่อมีการมอบหมายงานใหม่ 5.จัดการเอกสารและไฟล์ ใช้ฟีเจอร์การแนบไฟล์เพื่อเก็บเอกสารสำคัญ เช่น ประวัติการสัมภาษณ์, แผนการฝึกอบรม, หรือเอกสารทางกฎหมาย นี่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย 6. ติดตามเวลาและทรัพยากร ใช้คอลัมน์ หรือฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการติดตามเวลา และทรัพยากร เพื่อให้คุณสามารถวางแผน และจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7. การวิเคราะห์และรายงาน ใช้ฟีเจอร์รายงาน และแดชบอร์ดใน monday.com เพื่อดูภาพรวมของโครงการ HR และประเมินผลการดำเนินงาน เช่น การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการสรรหาพนักงาน 8. รวมการทำงานกับเครื่องมืออื่น ๆ monday.com สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Google Calendar, Slack, และ Microsoft… Read more: การใช้ monday.com ในการจัดการโครงการ HR
  • การทำประเมินหลังสัมภาษณ์งานโดยใช้ monday.com
    การทำประเมินหลังสัมภาษณ์งานโดยใช้ Monday.com เป็นเครื่องมือในการจัดการและติดตามกระบวนการสัมภาษณ์ สามารถช่วยให้กระบวนการมีความเป็นระเบียบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถติดตามความคืบหน้าของการสัมภาษณ์แต่ละคนได้ง่ายๆ และทำการประเมินได้อย่างชัดเจน ดังนี้คือขั้นตอนการสร้างการประเมินหลังสัมภาษณ์ใน Monday.com 1. สร้างบอร์ดใหม่สำหรับการประเมินหลังสัมภาษณ์ 2. กำหนดคอลัมน์ 3. เพิ่ม subitem เพื่อระบุผู้ประเมินและคะแนนการประเมิน 4. แยกกลุ่มการประเมินตามสถานะ การแยกกลุ่มการประเมินตามสถานะสามารถทำได้โดยการใช้ฟังก์ชัน Automations เพื่อจัดการ โดยสามารถทำได้ดังนี้ 5. ส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อผ่านการสัมภาษณ์และใกล้ถึงวันที่นัดสัมภาษณ์ สามารถตั้งฟังก์ Automations เพื่อให้ส่งอีเมลแจ้งผลหรือแจ้งนการนัดสัมภาษณ์งานให้กับผู้ที่มาสัมภาษณ์ได้ โดยสามารถทำได้ดังนี้ 2. หากมีตารางการสัมภาษณ์ใกล้วันที่นัด สามารถแจ้งอีเมลเตือนผู้ที่มีสิทธิ์สัมภาษณ์งานก่อนล่วงหน้า 1 วันก่อนนัดได้โดยจะส่งเมลให้ที่สถานะ รอสัมภาษณ์ 6. Add view เพื่อสร้าง Chart ไว้ดูเป็นสรุปรายงานได้ และสามารถเพิ่มวิตเจ็ตปฏิทิน หรืออื่นๆเพิ่มเติมได้ ข้อควรระวังในการใช้ Monday.com สำหรับการประเมินหลังสัมภาษณ์งาน ได้แก่ การทำประเมินหลังสัมภาษณ์งานโดยใช้ monday.com จะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการ และติดตามกระบวนการสัมภาษณ์ได้อย่างเป็นระเบียบ, รวดเร็ว, และมีประสิทธิภาพ ทำให้การตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่ดีที่สุดง่ายขึ้นและโปร่งใสมากขึ้น นอกจากนี้ ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Automation, Dashboard, และ Collaboration จะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน
  • การใช้ monday.com เพื่อการติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน
    การใช้ monday.com เพื่อการติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน สามารถทำให้การจัดการและติดตามข้อมูลเป็นไปอย่างมีระเบียบและมีประสิทธิภาพ ด้วยการตั้งค่า Boards, Views, Automations และการรายงานที่เหมาะสม สามารถทำให้กระบวนการการประเมินผลเป็นไปอย่างราบรื่น นี่คือวิธีการที่สามารถใช้ monday.com เพื่อการติดตามการประเมินผล: 1. การสร้างและตั้งค่า Boards 2. เพิ่ม Columns ใน Board 3. เพิ่มข้อมูลพนักงานและการประเมิน 2. การใช้ Views เพื่อการติดตาม 3. การตั้งค่า Automations 4. การใช้ Forms 5. การติดตามและการรายงาน 6. การใช้ Integrations 7. การบริหารจัดการเอกสาร
  • จัดการข้อมูลพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย monday.com
    จัดการข้อมูลพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย monday.com monday.com เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการจัดการข้อมูลพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือใหญ่ monday.com สามารถช่วยให้คุณสร้างระบบการจัดการทรัพยากรบุคคล (HR) ที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และปรับแต่งได้ตามความต้องการขององค์กรของคุณ เหตุผลที่ควรใช้ monday.com ในการจัดการข้อมูลพนักงาน วิธีใช้งาน monday.com ในการจัดการข้อมูลพนักงาน ตัวอย่างการใช้ monday.com ในการจัดการข้อมูลพนักงาน 1. การติดตามข้อมูลพนักงาน (Employee Database) สร้างบอร์ด (Board) ที่รวบรวมข้อมูลพนักงานทั้งหมด เช่น ชื่อ, ตำแหน่ง, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล, วันที่เข้าทำงาน, และข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ โดยสามารถใช้คอลัมน์ต่างๆ เช่น: ตัวอย่างบอร์ดที่ใช้ ชื่อพนักงาน ตำแหน่ง อีเมล วันที่เริ่มงาน สถานะ สมชาย คำดี ผู้จัดการ [email protected] 01/01/2020 กำลังทำงาน นางสาวอุ้ม พนักงานขาย [email protected] 15/06/2021 ลาพักร้อน 2. การติดตามวันลาของพนักงาน สามารถใช้ Monday.com ในการติดตามการลา เช่น ลาพักร้อน, ลาป่วย, หรือวันหยุดพิเศษ โดยการสร้างบอร์ดสำหรับการลาของพนักงาน และติดตามข้อมูลได้อย่างมีระเบียบ ตัวอย่างบอร์ดการติดตามวันลา ชื่อพนักงาน ประเภทการลา วันที่ลา สถานะการอนุมัติ สมชาย คำดี ลาพักร้อน 01/12/2024 อนุมัติแล้ว นางสาวอุ้ม ลาป่วย 15/12/2024 รออนุมัติ 3. การจัดการการฝึกอบรม (Training Management) สามารถใช้ Monday.com… Read more: จัดการข้อมูลพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย monday.com
  • การใช้งาน monday.com เพื่อการสรรหาและคัดเลือกพนักงาน
    การใช้งาน monday.com เพื่อการสรรหาและคัดเลือกพนักงาน สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกระบวนการสรรหาและการคัดเลือกพนักงานให้มีระเบียบและคล่องตัวมากขึ้น นี่คือวิธีการตั้งค่าและใช้งาน monday.com สำหรับการสรรหาและคัดเลือกพนักงาน 1. การตั้งค่า Workspace และ Boards 2. การตั้งค่า Columns ใน Board 3. การเพิ่มข้อมูลผู้สมัคร 4. การตั้งค่า Automations 5. การใช้ Forms 6. การติดตามและการรายงาน 7. การใช้ Integrations
  • คู่มือ การใช้ monday.com สำหรับ HR การจัดการงานและพนักงาน
    การใช้ monday.com สำหรับการจัดการงานและพนักงานในแผนก HR สามารถช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่การติดตามกิจกรรมการทำงานของพนักงานไปจนถึงการจัดการโครงการต่าง ๆ ในแผนก HR นี่คือคู่มือการใช้ monday.com สำหรับ HR 1. เริ่มต้น “การใช้ monday.com” 2. สร้างและจัดการ Boards สำหรับ HR 3. จัดการการสรรหาพนักงาน 4. การจัดการการฝึกอบรมและการพัฒนา 5. การจัดการผลการทำงานและข้อเสนอแนะแบบรายไตรมาส 6. การจัดการเอกสาร HR 7. การใช้ Dashboards และการรายงาน 8. การใช้ Integrations
  • กลยุทธ์ทำ Digital Transformation ยังไงให้ปัง
    กลยุทธ์ทำ Digital Transformation (DX) หรือ การปรับเปลี่ยนทางดิจิทัลให้สำเร็จและ “ปัง” (เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ) จำเป็นต้องวางกลยุทธ์ที่รอบคอบ โดยสามารถแบ่งกลยุทธ์ออกเป็นขั้นตอนต่างๆ และแต่ละธุรกิจดิจิทัลก็จะมีแนวทางการปรับใช้ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของอุตสาหกรรมและตลาดเป้าหมาย Photo by Luis Benito on Unsplash กลยุทธ์ทำ Digital Transformation ให้ปัง ตัวอย่าง Digital Transformation ในแต่ละอุตสาหกรรม สรุป การทำ Digital Transformation ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากทำตามกลยุทธ์ที่เหมาะสม การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และการปรับวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่น พร้อมกับการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสมหาศาล องค์กรที่สามารถปรับตัวและนำนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นผู้นำที่แท้จริงในยุคดิจิทัลนี้
  • ความท้าทายของ Digital Transformation
    ความท้าทายของ Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล) เป็นกระบวนการที่องค์กรต่างๆ ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนา และปรับปรุงการดำเนินงาน, การสร้างประสบการณ์ของลูกค้า, และโมเดลธุรกิจโดยรวม เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การดำเนินการ Digital Transformation มักมีความท้าทายหลายประการ ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังนี้ 1. การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจากภายในองค์กร (Resistance to Change) 2. การลงทุนและทรัพยากร (Investment and Resources) 3. ความซับซ้อนของการรวมระบบ (Integration Complexity) 4. การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) 5. การจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ (Data Management and Analytics) 6. การพัฒนาและการปรับตัวให้รวดเร็ว (Agility and Speed of Development) 7. การปรับตัวให้เหมาะสมกับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) 8. ข้อจำกัดทางกฎหมายและข้อบังคับ (Regulatory and Legal Constraints) 9. การจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Management) วิธีการรับมือกับความท้าทายของ Digital Transformation สรุป ความท้าทายของ Digital Transformation เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญแต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายที่ต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบ และการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตขององค์กร ทั้งนี้องค์กรต้องมีการจัดการกับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จ การทำ Digital Transformation เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่หากองค์กรสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้ จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล
  • การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เกี่ยวกับคุณยังไง
    การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ส่งผลกระทบต่อทุกคนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน 1. การทำงานและอาชีพ 2. การศึกษาและการเรียนรู้ 3. การสื่อสารและความสัมพันธ์ 4. การบริโภคและการใช้ชีวิต 5. การบริหารจัดการและความปลอดภัย สรุป การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรทุกขนาด เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัล องค์กรที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นผู้ชนะในตลาด
  • Digital Transformation คืออะไร
    Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล) หมายถึง กระบวนการที่องค์กรหรือธุรกิจนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงวิธีการดำเนินงาน การให้บริการ การสร้างคุณค่าใหม่ ๆ และการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไม่ได้หมายถึงแค่การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านกระบวนการทางธุรกิจ การวางแผนกลยุทธ์ การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร และการพัฒนาทักษะของพนักงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ ๆ ส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล มีดังนี้ 1. การใช้เทคโนโลยีใหม่ (Adoption of New Technologies) 2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Change) 3. การพัฒนาและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience Enhancement) 4. การปรับปรุงกระบวนการภายใน (Internal Process Optimization) 5. การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล (Data Collection and Analytics) 6. การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ (Product and Service Innovation) 7. การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ข้อดีของการทำ Digital Transformation ต่อองค์กร ข้อเสียของการทำ Digital Transformation ต่อองค์กร 1. ปัญหาด้านการบูรณาการ (Integration)การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในองค์กรอาจต้องมีการเชื่อมโยงกับระบบเดิมที่ใช้งานอยู่ การทำการบูรณาการระหว่างระบบใหม่และระบบเก่าอาจเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน รวมถึงอาจต้องใช้ทรัพยากรในการพัฒนาและทดสอบระบบ 2. ต้นทุนในการลงทุนสูงการทำ Digital Transformation ต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งอาจมีต้นทุนสูง ทั้งในด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ การฝึกอบรมพนักงาน และการปรับโครงสร้างองค์กร อาจทำให้องค์กรต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่มาก 3. ความซับซ้อนในการจัดการการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดการ เนื่องจากต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเดิมๆ และอาจมีปัญหากับการทำงานร่วมกันระหว่างระบบเก่าและใหม่ 4. ปัญหาเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์… Read more: Digital Transformation คืออะไร
  • เทคนิคการใช้งานฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในmonday.com
    เทคนิคการใช้งานฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ monday.com ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานสามารถทำได้หลายวิธีผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการจัดการงาน ต่อไปนี้คือลิสต์ของเทคนิคและฟีเจอร์ที่สามารถใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 1. การใช้ Templates Templates เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสร้างระบบจากศูนย์ นี่คือวิธีการใช้ Templates ใน monday.com: สามารถดู Template ที่ตนเองสร้างหรือสมาชิกในทีมสร้างจากเมนู + เลือก “Start With Template” และเลือกเมนู Created by … 2. การตั้งค่า Automations Automations ช่วยในการทำงานอัตโนมัติและลดความซับซ้อนในการจัดการงาน โดยการตั้งค่า Automations คุณสามารถ หน้าสูตรกรณีต้องการสร้างเงื่อนไขเอง ตัวอย่าง เมื่อสถานะเสร็จสิ้น ตัวอย่าง ให้ทำการแจ้งเตือนทีมของฉัน วลัยพร มีลูกแมวเหมียว โดยมีการแจ้งเตือนว่า It’s done 3. การรวมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ การรวม monday.com กับแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและเพิ่มประสิทธิภาพ ตัวอย่างบางแอปพลิเคชันที่สามารถรวมกับ Monday.com เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: Google Workspace (Google Drive, Gmail, Google Calendar): Microsoft 365 (OneDrive, Outlook, Teams): ตัวอย่างการผสานMoaday.com กับ Gmail 1.ให้ไปที่บอร์ดที่คุณต้องการสร้างการบูรณาการ และคลิกที่ปุ่ม “บูรณาการ”หรือปุ่ม Intergrate ที่อยู่ทางด้านขวาบนของบอร์ดของคุณ: 2.กดเลือกแอปพลิเคชั่นที่ต้องการ 3. เมื่อคลิกบนแบนเนอร์การรวม “Gmail” คุณจะพบสูตรที่ใช้ได้สำหรับการรวมนี้ ซึ่งสูตรสามารถเลือกได้ตามที่ต้องการ 4.เมื่อคลิกที่สูตรใดสูตรหนึ่ง… Read more: เทคนิคการใช้งานฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในmonday.com
  • การสร้างและปรับแต่งแดชบอร์ด (Dashboard) เพื่อสรุปข้อมูลและติดตาม KPI ของทีม รวมถึงวิธีการทำรายงานต่าง ๆ
    การสร้างและปรับแต่งแดชบอร์ด (Dashboard) บน monday.com เพื่อสรุปข้อมูลและติดตาม KPI ของทีม รวมถึงวิธีการทำรายงานต่าง ๆ มีขั้นตอนหลัก ๆ ที่คุณสามารถทำได้ ดังนี้ 1. การกำหนดวัตถุประสงค์ 2. การออกแบบแดชบอร์ด 3. การรวบรวมข้อมูล 4. การปรับแต่ง 5. การสร้างรายงาน โดยการสร้างรายงานโดยใช้ Automations และ Integrations การตั้งค่า Automation การใช้ Integrations การนำเสนอ สรุป การสร้างและปรับแต่งแดชบอร์ด บน monday.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การติดตาม KPI และสรุปข้อมูลต่าง ๆ มีความสะดวกและสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ คุณสามารถเลือก widget ที่เหมาะสมกับการติดตามข้อมูล และสามารถแชร์แดชบอร์ดเหล่านี้กับทีมเพื่อให้ข้อมูลมีความโปร่งใสและสามารถใช้ในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
  • “การสื่อสารในทีมผ่าน monday.com” อย่างมีประสิทธิภาพ
    ในบล้อกนี้ เราจะมาแชร์วิธีการใช้ฟีเจอร์ การสื่อสารในทีมผ่าน monday.com เช่น การใช้ Updates, การ Mention และการแชร์ไฟล์ เพื่อให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ในเซ็คชั่นการอัปเดตช่วยให้คุณและทีมของคุณสามารถสื่อสารรูปแบบโซเชียลมีเดียภายในรายการ โดยเก็บการสนทนาทั้งหมดเกี่ยวกับงานหรือโครงการเฉพาะไว้ในที่เดียวกันและในบริบท อ่านบทความนี้ต่อไปเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่คุณสามารถทําได้ด้วยส่วนการอัปเดต สื่อสารกับทีมของคุณ เมื่อ @mentioning บุคคลหรือหากคุณได้สร้างทีมในบัญชีของคุณ @mentioning ทีม คุณจะมั่นใจได้ว่าบุคคลที่เหมาะสมจะเห็นการอัปเดตของคุณ เมื่อกล่าวถึงแล้ว สมาชิกในทีมจะได้รับการแจ้งเตือนในกระดิ่งแจ้งเตือน หากต้องการ @mention เพียงคลิกปุ่ม “@ กล่าวถึง” หรือพิมพ์สัญลักษณ์ “@” แล้วเลือกทีมหรือสมาชิกในทีมจากเมนูแบบเลื่อนลง หมายเหตุ: ผู้ใช้ในบัญชีที่มีที่นั่งมากกว่า 5,000 ที่นั่งไม่สามารถพูดถึง “ทุกคนในบัญชีนี้” ได้ สําหรับบัญชีที่มีที่นั่งน้อยกว่า 5,000 ที่นั่ง เมื่อใช้การกล่าวถึง “@everyone” เฉพาะผู้ใช้ที่สมัครรับข้อมูลรายการหรือรายการย่อยเท่านั้นที่จะได้รับการแจ้งเตือน หากคุณสมัครรับข้อมูลเฉพาะรายการย่อย คุณจะไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการกล่าวถึงรายการ สมาชิกในทีมสามารถตอบสนองต่อการอัปเดตและการตอบกลับด้วยการยกนิ้วโป้งหรืออีโมจิ ทําให้การตอบกลับเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขายังสามารถเลือกที่จะตอบกลับด้วย GIF, ไฟล์ อิโมจิ และ@mentions ไอคอนตา “เห็นแล้ว” ใต้การอัปเดตของคุณจะปรากฏขึ้นเมื่อมีคนดูการอัปเดตของคุณ เมื่อวางเมาส์เหนือไอคอน คุณจะเห็นว่าใครได้เห็นการอัปเดตนั้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนการตอบกลับด้านล่าง ไอคอนดวงตาจะปรากฏอยู่เสมอ และไม่ขึ้นอยู่กับใครก็ตามที่เคยเห็นคําตอบนั้น กดแสดงสถานะและตอบกลับ สมาชิกในทีมสามารถตอบสนองต่อการอัปเดตและการตอบกลับด้วยการยกนิ้วโป้งหรืออีโมจิ ทําให้การตอบกลับเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขายังสามารถเลือกที่จะตอบกลับด้วย GIF, ไฟล์ อิโมจิ และ@mentions ไอคอนตา “เห็นแล้ว” ใต้การอัปเดตของคุณจะปรากฏขึ้นเมื่อมีคนดูการอัปเดตของคุณ เมื่อวางเมาส์เหนือไอคอน คุณจะเห็นว่าใครได้เห็นการอัปเดตนั้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนการตอบกลับด้านล่าง ไอคอนดวงตาจะปรากฏอยู่เสมอ และไม่ขึ้นอยู่กับใครก็ตามที่เคยเห็นคําตอบนั้น โน้ต: ในขณะนี้ คุณไม่สามารถกู้คืนข้อความที่ถูกลบจากส่วนการอัปเดตหรือกล่องข้อมูลได้ จัดรูปแบบข้อความของคุณ คุณสามารถจัดรูปแบบข้อความของคุณได้ทุกชนิดของเอฟเฟกต์พิเศษและสี!… Read more: “การสื่อสารในทีมผ่าน monday.com” อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บอร์ดใน monday.com ทำอะไรได้บ้าง
    บอร์ดใน monday.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานสามารถจัดการงานและโครงการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคุณสมบัติและฟังก์ชันหลายอย่างที่ช่วยในการทำงานร่วมกัน ได้แก่ องค์ประกอบของบอร์ด 1. คอลัมน์ (Columns) คอลัมน์สามารถปรับแต่งตามความต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน 2. รายการ (Items) 3. กลุ่ม (Groups) 4. แดชบอร์ด (Dashboard) 5. การแจ้งเตือน (Notifications) 6. การตั้งค่าอัตโนมัติ (Automations) 7. มุมมอง (Views) มุมมองช่วยให้ทีมสามารถเลือกดูข้อมูลในรูปแบบที่ต้องการ 8. การแชร์และการร่วมมือ (Collaboration and Sharing) 9. การเชื่อมต่อ (Integrations)
  • วิธีสร้างกระดานและการ import โปรเจ็กต์ บน monday.com
    การสร้างกระดาน (Board) และการนำเข้าข้อมูล (Import Project) บน monday.com สามารถทำได้หลายวิธีและมีขั้นตอนที่ค่อนข้างง่าย ต่อไปนี้จะอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดในการสร้างกระดานและนำเข้าข้อมูลโปรเจ็กต์ 1. การสร้างกระดาน (Board) กระดานใน monday.com คือพื้นที่ที่ใช้ในการติดตามและจัดการโปรเจ็กต์หรือภารกิจต่าง ๆ โดยในกระดานหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยหลายคอลัมน์ (Columns) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงาน ขั้นตอนการสร้างกระดาน กรอกข้อมูลในแถวที่สร้างขึ้น เช่น รายละเอียดของงาน, วันที่กำหนด, ผู้รับผิดชอบ เป็นต้น 1. เข้าสู่ระบบ monday.com 2. สร้างกระดานใหม่ Start from scratch: สร้างกระดานใหม่จากเริ่มต้น Use a template: ใช้เทมเพลตที่มีให้เพื่อให้คุณเริ่มต้นได้เร็วขึ้น ในการสร้างกระดานจะสามารถเปลี่ยนชื่อกระดานของตนเองได้ ที่ช่อง Board name ส่วนของตัวเลือกด้านล่างหมายถึงดังนี้ และสามารถเลือกตารางข้อมูลที่ต้องการใช้บนหน้ากระด้านเพิ่มเติมได้ รวมถึงสามารถเพิ่มรายการที่ต้องการตั้งชื่อเองในช่อง Custom ได้ 3. ตั้งค่าคอลัมน์ในกระดาน 4. เพิ่มแถว (Items) ในกระดานใหม่ของคุณ, คุณสามารถเพิ่มแถวใหม่ได้โดยการคลิกที่ “Add Item” หรือ “New Item” 2. การนำเข้าข้อมูล (Import Project) คุณสามารถนำเข้าข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Excel, Google Sheets หรือโปรแกรมการจัดการโปรเจ็กต์อื่น ๆ มาใช้งานบน monday.com วิธีการนำเข้าข้อมูลจากไฟล์ Excel หรือ CSV วิธีการนำเข้าข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ (เช่น Google Sheets)
  • เริ่มต้นใช้งาน monday.com ต้องทำยังไง
    เริ่มต้นใช้งาน monday.com ต้องทำยังไง ขั้นตอนแรก เราไปลงทะเบียนบัญชีการใช้งานได้ฟรีที่นี่ ไปที่เว็บไซต์ Monday.com คลิกที่ “Get Started” หรือ ปุ่มเริ่มต้นใช้งาน หรือ “Sign Up.”  ขั้นตอน เริ่มต้นใช้งาน monday.com ต้องทำยังไง monday.com 1. การสมัครสมาชิกและเข้าสู่ระบบ เมื่อสมัครเสร็จแล้ว, คุณจะได้รับการยืนยันผ่านอีเมลและสามารถเข้าสู่ระบบได้ ไปที่เว็บไซต์ของ monday.com ที่ www.monday.com คลิกที่ปุ่ม “Get Started” หรือ “Sign Up” เพื่อสมัครบัญชีใหม่ คุณสามารถสมัครด้วยอีเมล, Google, หรือ Microsoft account ตามที่สะดวก เข้าสู่ระบบ: เมื่อกดเข้าใช้งานกรอกข้อมูลแล้วจะมีทางเลือกสำหรับการใช้งานให้เราเลือก โดยจะมีคำถาม เป็นการใช้งานเพื่อทำอะไร เช่น ทำงาน หรือ ใช้ส่วนตัว ใช้กี่คน ใช้สำหรับบริษัทธุรกิจใด ตำแหน่งงานใด วัตถุประสงค์ของการใช้งานเกี่ยวกับงานใด เป็นต้น เพื่อให้Monday.com แสดง Template ตรงกับการใช้งานของผู้สมัครใช้งาน คำถามสุดท้ายเป็นการเลือกว่าต้องการให้ในหน้ากระดานมีข้อมูลใในแต่ละแถวเป็นอะไรบ้าง เช่น ชื่อผู้ติดต่อ , เบอร์โทรศัพท์ , อีเมล เป็นต้น การแก้ไขโปรไฟล์: 2. การสร้าง Workspace และ Board วิธีสร้าง Workspace: วิธีสร้าง Board: การตั้งค่าคอลัมน์ (Columns) ใน Board ตัวอย่างคอลัมน์ที่อาจใช้ใน Board: การเพิ่มงาน… Read more: เริ่มต้นใช้งาน monday.com ต้องทำยังไง
  • สร้าง Timeline การตั้งค่าอัตโนมัติและติดตามความคืบหน้าmonday.com
    การใช้ monday.com สร้าง Timeline การตั้งค่าอัตโนมัติ และ ติดตามความคืบหน้า เป็นการจัดการโปรเจกต์ที่มีประสิทธิภาพและช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานได้รวดเร็วและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณีของการติดตามขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำงาน เช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดในการจ่ายเงินเดือน หรือการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับงานขาย เป็นต้น สร้าง Timeline การตั้งค่าอัตโนมัติ monday.com เป็นเครื่องมือสำหรับการจัดการโปรเจกต์ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย เช่น การสร้าง Timeline, การตั้งค่า Automation (อัตโนมัติ) และการติดตามความคืบหน้าของงาน เพื่อช่วยให้ทีมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือวิธีการใช้งาน monday.com เพื่อจัดการและติดตามโปรเจกต์ต่าง ๆ สร้าง Timeline ใน monday.com Timeline เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการและวางแผนงานในลักษณะที่แสดงการดำเนินการในรูปแบบของเส้นเวลา ซึ่งทำให้คุณเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอน วิธีเพิ่มคอลัมน์ในบอร์ดของคุณ  1. การสร้าง Timeline Timeline เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถมองเห็นภาพรวมของโปรเจ็กต์ในรูปแบบกราฟิก ซึ่งเหมาะสำหรับการติดตามความคืบหน้าและกำหนดการต่าง ๆ 2. เพิ่มข้อมูลใน Timeline 3. มองเห็น Timeline การปรับแต่ง Timeline: ตัวอย่างการใช้ Timeline: 2. การตั้งค่าอัตโนมัติ (Automations) Automation เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณทำงานได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องทำซ้ำงานที่เหมือนกันหลายครั้ง เช่น การแจ้งเตือน การย้ายสถานะการทำงาน หรือการทำงานอื่น ๆ ที่สามารถตั้งค่าล่วงหน้าได้ 2. เลือก Automation ที่ต้องการ monday.com มีหลายตัวเลือกสำหรับการตั้งค่า Automation ที่พร้อมใช้งาน เช่น: 3. กำหนดกฎ Automation:… Read more: สร้าง Timeline การตั้งค่าอัตโนมัติและติดตามความคืบหน้าmonday.com
    Scroll to Top